หนุ่มวัยเบญจเพศ ซิ่ง จยย. ย้อนศรหนีตำรวจ ชนประสานงาชาวบ้านดับ

6 สิงหาคม 2566 ที่ จ.นครปฐม เมื่อเวลา 01.40 น. ที่ผ่านมา ร.ต.อ.เนตร ยิ่งเจริญ รอง สว.สอบสวน สภ.สามพราน ได้รับแจ้งมีเหตุรถชนกัน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณถนนเพชรเกษม (ขาเข้า) ก่อนถึง 4 แยกไฟแดง โรงพยาบาลสามพรานเก่า 300 เมตร หลังรับแจ้งจึงได้ประสานกู้ภัยมูลนิธิพรานพิทักษ์ รุดเข้าตรวจสอบ 

ที่เกิดเหตุถนนเพชรเกษม (ขาเข้า) กรุงเทพฯ ช่องทางซ้ายสุด พบรถ จยย. ตราโล่ ของสายตรวจตำรวจ สภ.สามพราน พลิกคว่ำอยู่กลางถนน ถัดมาริมถนนพบ รถ จยย. ล้มคว่ำอีกคัน มี ส.ต.ท.กิตติศักดิ์ สายใจ อายุ 26 ปี และส.ต.อ.ณัฐพล เฉยฉิว อายุ 28 ปี ได้รับบาดเจ็บ มีแผลถลอกตามร่างกายหลายแห่ง เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิพรานพิทักษ์ จึงได้นำตัวส่งโรงพยาบาลสามพราน 

นอกจากนี้กลางถนน ยังพบ รถ จยย. ป้ายเหลือง ทะเบียน XXX 941 สมุทรสาคร และ รถ จยย. แบบหญิง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนพลิกคว่ำอยู่

ใกล้กันพบผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 2 คน เป็นผู้ขับขี่ และนั่งซ้อนท้าย  ทราบชื่อภายหลังคือนายกรวิก วงษ์สุข อายุ 20 ปี มีบาดแผลถลอกตามร่างกาย มีแผลฉีกขาดที่ศีรษะ และนายเอทัด เปียศิริ อายุ 19 ปี มีบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะและขาซ้ายหัก กู้ภัยนำส่งโรงพยาบาลสามพราน 

ห่างออกไปอีก 5 เมตร เจ้าหน้าที่พบร่างผู้เสียชีวิต เป็นคนขับรถ จยย.  ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ทราบชื่อต่อมาคือ นายเรืองศักดิ์ โสมาเกตุ อายุ 25 ปี สภาพมีบาดแผลตามร่างกาย หน้าผากยุบเป็นแผลฉกรรจ์ 

จากการสอบของตำรวจ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุบริเวณ 4 แยกไฟแดงโรงพยาบาลสามพรานเก่า ตำรวจสายตรวจรถ จยย. ที่ได้รับบาดเจ็บ กำลังออกปฏิบัติหน้าที่ จอดรถติดไฟแดง อยู่บริเวณถนนเพชรเกษม (ขาเข้า) กรุงเทพฯ จำนวน 2 คัน   

เป็นจังหวะที่รถผู้ตาย ขับมาจอดติดไฟแดงด้านเดียวกัน แต่เมื่อผู้ตายเห็นตำรวจ ได้ขับขี่รถ จยย. ย้อนศรหนีตำรวจทันที  ทำให้ตำรวจ ต้องขับรถ จยย. ไล่ติดตาม และเมื่อรถวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นถนนช่วงทางโค้งขวา ผู้ตายได้ขับรถออกจากเลนที่ 2 จึงทำให้รถพุ่งไปชนประสานงากับ รถ จยย. ของผู้บาดเจ็บที่วิ่งมาทางตรงอย่างแรง

ทำให้รถ 2 คัน พร้อมผู้ขับขี่และคนนั่งซ้อนท้าย กระเด็นไปคนละทิศคนละทาง  ส่วนรถ จยย. ของผู้ตาย ได้กระเด็นไปถูกรถ จยย.  ของตำรวจที่ขับตามมา 2 คัน จนล้มลง และได้รับบาดเจ็บดังกล่าว 

ทั้งนี้ ตำรวจจะเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด ในบริเวณจุดเกิดเหตุ และตรวจสอบกล้องวงจรปิด บนหมวกตำรวจสายตรวจ เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ ในการเกิดอุบัติเหตุที่แท้จริงต่อไป