เมื่อวันที่ 14 พ.ย.65 "นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์" อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และประธานสร้างอนาคตไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "ความสัมพันธ์ไทย-จีน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป" ที่โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน สี่พระยา ซึ่งจัดโดยสมาคมวิเทศพาณิชย์ไทย-จีน โดยมีนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
"นายสมคิด" กล่าวว่า การมาครั้งนี้ ไม่ได้คิดว่าจะมาหาเสียงกับใคร เพราะการที่คนใดคนหนึ่งจะมาเลือกพรรคของตน คนระดับนี้ย่อมมีวิจารณญาณรู้ว่าใครทำงาน รู้ว่าใครของจริง วันนี้ตั้งใจมาพูดสิ่งที่มีความสำคัญกับประเทศไทยในอนาคต ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นความสัมพันธ์ไทย-จีน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ตามแบบพี่น้อง
"ความสำเร็จเกิดขึ้นได้จนถึงวันนี้ เกิดจากความพยายามของคนรุ่นก่อนที่ช่วยกันสร้างและรักษาความสัมพันธ์เหล่านี้ให้แน่นแฟ้น ถ้าคนรุ่นต่อไปสามารถสานความสัมพันธ์นี้ต่อไปได้ก็จะมีคุณูปการสูงมากกับประเทศไทย อย่างในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งการประชุมกัน Cop 27 การประชุมสุดยอดอาเซียนที่กัมพูชา การประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย ซึ่งไม่มีเวทีไหนที่ไม่เกี่ยวกับจีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง หรืออนาคตข้างหน้าว่าเราจะอยู่กันอย่างไร"
"นายสมคิด" กล่าวต่อว่า จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ขยับทีเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเราไม่ติดตามหรือกระชับความสัมพันธ์ หรือถ้าเราไม่มีความสำคัญในสายตาของจีน อนาคตเราอาจจะสู้เพื่อบ้านไม่ได้ ทั้งนี้"นายสมคิด"พร้อมเล่าย้อนไปว่า ในปี 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกฯ ในขณะนั้น เดินทางไปกระชับสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งเวลานั้นจีนคือคู่อริของไทย ไม่ใช่เพื่อนฝูงมาตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เพราะตอนนั้นเราอิงทางอเมริกาตลอด และอเมริกาถือว่าจีนเป็นคู่ต่อกรอันดับต้นๆ อเมริกาต่อต้านจีน ก็หมายความว่าประเทศเล็กๆทั้งหลายที่รับความช่วยเหลือและความสัมพันธ์กับอเมริกา ต้องเดินตามทั้งสิ้น แต่เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไปพบประธานาธิบดีจีน ถือเป็นการเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตรทันที
"นายสมคิด" กล่าวชื่นชมผู้นำจีนอย่าง เติ้งเสี่ยวผิง ที่เรียนรู้จากโลกเพื่อตามโลกให้ทัน และยึดนโยบายที่ว่า ไม่ว่าเราจะพัฒนาอย่างไร เราต้องเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาตลอด ก้มต่ำ อย่าแสดง อย่าโอ้อวด เดินไปทีละขั้น ถ้าเมื่อใดที่โอ้อวดแสดงพลัง ภัยจะมา ถือเป็นการงำประกาย
ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่เส้นทางการเมือง ก็เริ่มผูกมิตรกับจีน จนเกิดการตั้งคณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน ซึ่งสลับกันเป็นเจ้าภาพจัดประชุมทุกปี แต่เมื่อตนพ้นจากตำแหน่งการประชุมคณะกรรมการดังกล่าวก็น้องลงมาก จนคนเริ่มไม่รู้จักกัน จวบจนกลับมาในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มาฟื้นคณะกรรมการฯ แต่ฝ่ายจีนเปลี่ยนตัวไปหลายคนแล้ว ขณะเดียวกันขอให้สานต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง one belt one road ที่ยังทำกับจีนไม่จบ
"นายสมคิด" กล่าวถึงประเทศไทยด้วยว่า ควรเลิกเรื่องสีเสื้อ เลิกเล่นกีฬาสีได้แล้ว ตอนนี้อยู่บนทางแยก ถ้าทำไม่ดี ประเทศก็จะลง แต่ถ้าทำดีก็จะฟื้นขึ้นมา พูดด้วยความจริงใจ เพราะคนไทยทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสุดยอดอาเซียน สมเด็จฮุนเซนกลายเป็นพระเอก ที่พูดถึงอนุภูมิภาคนี้กำลังถึงทางแยกที่พบความไม่แน่นอนที่สุด
"ชีวิตคนเป็นล้านคนขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ ปัญญาผู้นำในภูมิภาค พูดง่ายๆ คือชวนให้ผู้นำมาคุยกัน ประโยคนี้ไม่น่าใช่ฮุนเซนเป็นคนพูด แต่เพราะกำลังชิงความเป็นผู้นำอาเซียน และอีก 2-3 วัน ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด จะเป็นประธานการประชุม G20 เขาต้องสร้างภาพความเป็นผู้นำอาเซียนเช่นกัน ในส่วนของประเทศไทยกำลังเป็นประธานจัดประชุมเอเปคในสัปดาห์นี้ กระทรวงการต่างประเทศต้องไปคิดข้อความให้"พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา"นายกรัฐมนตรีของไทย พูดเพื่อให้เราไม่ตกรุ่นและชิงความเป็นผู้นำในอาเซียนกลับมา" นายสมคิด กล่าว
"อดีตรองนายกฯ" ยังได้ขยายความว่า เพราะสมัยก่อนผู้นำอาเซียนคือ สิงคโปร์และไทย ตอนนี้ไทยต้องไม่หลุดแกนกลางของอาเซียน หากหลุดไทยก็จะหลุดในสายตาอเมริกาและจีน ดังนั้น ไม่ควรให้ทุกอย่างไคลแม็กซ์อยู่ที่กัมพูชาและอินโดนีเซีย โดยที่ผู้นำแค่แวะมากินข้าวที่ประเทศไทย