23 สิงหาคม 2565 การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาเป็นประธานการประชุมตามปรกติ ท่ามกลางความร้อนแรงปม "8 ปี นายก" และการป้องกันพื้นที่รอบทำเนียบรัฐบาลอย่างเข้มงวด หลังจากมีการเตรียมชุมนุมในพื้นที่โดยรอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุมครม. พลเอกประยุทธ์ ระหว่างเดินจากตึกไทยคู่ฟ้า มายังตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี มีสีหน้าที่เรียบเฉย โดยไม่หันมาทักทายสื่อมวลชนที่รออยู่บริเวณด้านหน้าเหมือนปกติแต่อย่างใด ก่อนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมการประชาสัมพันธ์งาน ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนที่นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะเข้ารายงานตัวต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในช่วงบ่าย ได้ปรากฏตัว ถ้านายกรัฐมนตรีเคียงข้างพลเอกประยุทธ์ ก่อนที่จะเข้าร่วมการประชุม
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล กล่าวถึงการชุมนุมหลายกลุ่มที่จะมุ่งหน้ามาทำเนียบรัฐบาล เพื่อกดดันการดำรงตำแหน่งนายกฯ วาระ "8 ปี นายก" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นห่วงหรือไม่ โดยไม่ได้ตอบคำถาม แต่มีสีหน้าท่าทางอารมณ์ดี
ส่วนหาก พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ติดปัญหา "8 ปี นายก" ไม่ได้ไปต่อในอนาคต อาจทำหน้าที่ในตำแหน่ง "รักษาการนายกฯ" นั้น พล.อ.ประวิตร ไม่ตอบคำถาม
สำหรับวาระการประชุม ครม. ที่น่าสนใจในวันนี้ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติ การใช้จ่ายเงินกู้เพิ่มเติมฯ จำนวน 18,000 ล้านบาท สำหรับใช้รักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.
ขณะที่กระทรวงมหาดไทย เตรียมที่จะเสนอบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้าย ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย เป็นวาระจรต่อที่ประชุม ครม.พิจารณาเพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงหลังจากมีการเกษียณอายุราชการในเดือนต.ค.2565 และมีการโยกสลับตำแหน่งในระนาบเดียวกัน จำนวนทั้งสิ้น 34 ราย ประกอบด้วย อธิบดี 3 ตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ 31 ตำแหน่ง
สำหรับตำแหน่งที่น่าสนใจ ได้แก่ อธิบดีที่เกษียณอายุราชการ 3 ตำแหน่ง ดังนี้
นอกจากนี้ที่ประชุมจะมีการเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบจากค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 ที่เพิ่มขึ้นอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าเอฟทีรวมเป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฐาน ทำให้ค่าไฟที่ประชาชนต้องจ่ายรวมเป็น 4.72 บาทต่อหน่วยนั้น โดย กบง.นั้น ได้วางกรอบช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่ 1-500 หน่วย เนื่องจากเป็นกลุ่มประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศกว่า 22 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็น 90% ใช้เงินดูแลประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท
ส่วนแหล่งเงินทุนอยู่ที่ ครม.ว่าจะพิจารณาใช้งบกลางที่เหลือของปี 2565 ทั้งหมด หรือจะใช้งบประมาณ 2566 ด้วยหรือไม่ เพราะกรอบเวลาการช่วยเหลือเป็นช่วงรอยต่อปีงบประมาณ 2565-2566