
24 ธันวาคม 2568 ฯพณฯ อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เขียนบทความเปิดใจ เรื่อง "การกลับคืนสู่มาตุภูมิของสุทธิศักดิ์ รินทลักษ์ และสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนของเรา" เพื่อรำลึกถึงการกลับบ้านของแรงงานไทยเหยื่อของผู้ก่อการร้ายฮามาสคนสุดท้าย โดยระบุว่า
การส่งคืนร่างของ สุทธิศักดิ์ รินทลักษ์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พลเมืองไทยคนสุดท้ายที่ถูกกลุ่มก่อการร้ายฮามาสลักพาตัวไปในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ได้ปิดฉากวงจรแห่งความเจ็บปวดอันยาวนาน
แต่ก็ไม่อาจปิดบาดแผลในใจได้ การกลับมาของเขาไม่เพียงเป็นช่วงเวลาแห่งความโล่งใจ หากแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการรำลึกถึงอีกด้วย
เหตุการณ์นี้บังคับให้เราต้องหันกลับมามองต้นทุนของความสูญเสียจากการสังหารหมู่ที่กลุ่มฮามาสก่อขึ้นในวันอันมืดมนนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ชาวไทย 47 คนถูกสังหารในระหว่างการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และอีก 28 คนถูกลักพาตัวไปยังฉนวนกาซาและได้รับการปล่อยตัวในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ จากการกระทำอันโหดร้ายที่ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีการยกเว้นทางสัญชาติ ศาสนา หรือความเชื่อใดๆ
เหยื่อชาวไทยทุกคนก็เป็นเช่นเดียวกับแรงงานไทยอีกหลายหมื่นคน ที่มาทำงานในอิสราเอลเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวและสร้างความมั่นคงในอนาคต ทั้งนี้รัฐบาลอิสราเอลได้แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่ออนาคตของครอบครัวเหยื่อชาวไทยทุกครอบครัว นี่ไม่ใช่เพียงหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติเท่านั้น หากแต่เป็นพันธะอย่างลึกซึ้งทางศีลธรรม
เหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม ไม่ใช่การต่อสู้กันในสนามรบ แต่เป็นการสังหารหมู่ กล่าวคือ ผู้ก่อการร้ายฮามาสข้ามพรมแดนเข้ามายังดินแดนอิสราเอลด้วยเจตนาอันชัดเจนว่าจะสังหารพลเรือน พวกเขาเผาบ้านเรือน สังหารครอบครัว ฆ่าผู้สูงอายุและเด็ก ข่มขืนสตรี ลักพาตัวผู้บริสุทธิ์ทั้งชายและหญิง ทั้งนี้ แรงงานชาวไทยผู้ที่มาทำงานอันสุจริตในอิสราเอลเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ตกเป็นเป้าหมายของผู้ก่อการร้ายเพียงเพราะพวกเขาอยู่ ณ ที่นั้น นี่คือโฉมหน้าอันแท้จริงของความชั่วร้าย นั่นคือแก่นแท้ของอุดมการณ์แห่งความเกลียดชัง ที่ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองหรือเหตุผลใดๆ มีเพียงภาพของการทำลายล้างและความหวาดกลัวเท่านั้น ซึ่งเป็นความหวาดกลัวอย่างแท้จริง
สงครามที่เกิดขึ้นตามมาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้บริบท หากแต่เริ่มต้นจากการที่ฮามาสเปิดฉากโจมตีพลเรือนของอิสราเอลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน รัฐบาลใดก็ตามที่มีความรับผิดชอบ ย่อมต้องปกป้องประชาชนของตนหลังจากการโจมตีเช่นนี้ อิสราเอลเข้าสู่สงครามด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและชอบธรรมสองประการ คือ เพื่อให้แน่ใจว่าฮามาสจะไม่สามารถเป็นภัยคุกคามทางทหารและก่อการร้ายต่ออิสราเอลได้อีกต่อไป และเพื่อนำตัวประกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาวอิสราเอลหรือชาวต่างชาติ กลับบ้านอย่างปลอดภัย
ตัวประกันส่วนใหญ่จากทั้งหมด 258 คน ได้รับการปล่อยตัวกลับมาแล้ว เหลือเพียงตัวประกันชาวอิสราเอลอีกคนเดียว คือ รัน กวิลี ผู้ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ ตราบใดที่ยังมีผู้บริสุทธิ์ถูกกักขังอยู่ใต้ดินแม้เพียงคนเดียว ภารกิจของอิสราเอลก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เมื่อใดที่เขากลับมา เราก็หวังที่จะดำเนินการตามข้อตกลงในฉนวนกาซาระยะต่อไปได้ และนำไปสู่ความเป็นจริงที่ว่า ฮามาสจะไม่สามารถเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล ต่อประเทศเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ประชาชนของตนได้อีกต่อไป
อิสราเอลไม่ได้แสวงหาสงคราม อิสราเอลแสวงหาสันติภาพ แต่ต้องเป็นสันติภาพที่แท้จริง ยั่งยืน และมั่นคง เป็นสันติภาพซึ่งช่วยให้ครอบครัวที่ต้องพลัดพรากจากกันไป ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย เป็นสันติภาพที่ไม่ปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายยังคงมีอำนาจ มีกำลังสะสมอาวุธและเตรียมการสังหารหมู่ครั้งต่อไป ประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดได้สอนชาวอิสราเอลว่า สันติภาพที่ปราศจากความมั่นคงนั้น ก็เป็นเพียงภาพลวงตา
การส่งคืนร่างของสุทธิศักดิ์เตือนใจเราว่า การก่อการร้ายไม่มีพรมแดน ทั้งยังย้ำเตือนว่าเหยื่อของเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม มิได้มีแต่เพียงชาวอิสราเอลเท่านั้น หากแต่รวมถึงแรงงานชาวไทย นักศึกษาต่างชาติ นักท่องเที่ยว และครอบครัวจากหลายประเทศ การรำลึกถึงพวกเขาเป็นพันธกิจทางศีลธรรม ไม่ใช่กิจกรรมทางการเมืองแต่อย่างใด
นับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมเป็นต้นมา จะเห็นได้ว่ามีพลเมืองไทยสนใจจะมาทำงานในอิสราเอลเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีคนไทยกว่า 40,000 คน อาศัยและทำงานอยู่ในอิสราเอล พวกเขาปรากฏให้เห็นอยู่ทุกหนแห่ง กลายมาเป็นส่วนสำคัญของสังคมอิสราเอล พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา และนี่คือวิธีที่เรายกย่องให้เกียรติพวกเขา ทั้งในยามที่มีชีวิตอยู่และยามที่จากไป
ในขณะเดียวกัน ชาวอิสราเอลกว่า 400,000 คนเดินทางมายังประเทศไทยทุกปี พวกเขาคุ้นเคยและผูกพันกับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ชาวอิสราเอลมาท่องเที่ยว มาเรียนรู้ และมาสร้างสายสัมพันธ์ส่วนตัวอันลึกซึ้งกับสังคมไทย ทั้งสองชุมชนนี้มิได้เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ หากแต่เป็นสัญลักษณ์อันมีชีวิตของความไว้วางใจ ความร่วมมือ และความเคารพซึ่งกันและกัน ชุมชนทั้งสองได้ร่วมกันสร้างสะพานแห่งความเข้าใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สร้างสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน แม้จะอยู่ห่างกันด้วยระยะการเดินทางโดยเครื่องบินกว่า 11 ชั่วโมง แต่กลับใกล้ชิดกันในหัวใจอย่างลึกซึ้ง
อิสราเอลและประเทศไทยมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน
โดยมีพื้นฐานมาจากไมตรีจิตของประชาชนที่มีต่อกัน ในโอกาสที่เราร่วมใจกันรำลึกถึงเหยื่อของการก่อการร้ายชาวไทย เราขอยืนยันถึงสายใยแห่งความผูกพันนั้นอีกครั้ง
เราได้ยืนหยัดเคียงข้างกันเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และยึดมั่นในความเข้าใจร่วมกันว่า สะพานเชื่อมระหว่างประชาชนไม่ควรสร้างขึ้นจากประสบการณ์อันโศกเศร้า
หากแต่ควรสร้างขึ้นจากความรัก ความเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงผลประโยชน์และค่านิยมที่มีร่วมกัน