
9 พฤษภาคม 2568 คณะพระคาร์ดินัล 133 รูป ที่มีอายุต่ำกว่า 80 ปี ได้เลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ในนการลงคะแนนรอบที่ 4 ที่การประชุมคอนเคลฟ (conclave) ที่โบสถ์น้อยซิสทีนในนครรัฐวาติกัน เมื่อเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ของวันพฤหัสบดี (8 พฤษภาคม) หลังควันที่ปล่อยออกมาเป็นสีขาว ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของชาวคริสต์นิกายคาทอลิกหลายหมื่นคน ที่ไปรวมตัวรอฟังผลอยู่ที่จัตุรัสเซนต์ ปีเตอร์ และผู้ที่ได้รับการคัดเลือก คือ พระคาร์ดินัล "โรเบิร์ต เพรวอสต์" (Robert Prevost) วัย 69 ปี จากสหรัฐฯ ซึ่งจะก้าวขึ้นเป็นประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกองค์ที่ 267 และเป็นพระสันตะปาปาชาวอเมริกันองค์แรกในประวัติศาสตร์อีกด้วย
พระสันตะปาปาองค์ใหม่ ได้เลือกพระนาม "เลโอที่ 14" (Leo XIV) ซึ่งการใช้ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 14 แล้ว และในช่วงหลายสิบนาทีหลังการลงคะแนน สำนักวาติกันได้เผยแพร่คำกล่าวของพระคาร์ดินัลชาวอิตาลี "จูเซปเป แวร์ซัลดี" (Giuseppe Versaldi) พระราชาคณะแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกว่า การที่คณะพระคาร์ดินัลเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ในการลงคะแนนเพียง 4 รอบ แสดงให้เห็นถึง "ความเป็นหนึ่งเดียวกันในศาสนจักร" ซึ่งเมื่อครั้งพระสันตะปาปาฟรานซิสได้รับเลือก ต้องมีการลงคะแนนถึง 5 รอบ
หลังได้รับเลือก พระสันตะปาปาองค์ใหม่ได้ถูกพาไปยังห้องขนาดเล็กติดกับโบสถ์ซิสทีน เพื่อสวมผ้าคลุมสีขาวของสันตะปาปา ในขณะที่ฝูงชนพากันร้องตะโกนว่า "วิวา ปาปา" (Viva papa) หรือ "พระสันตะปาปาจงเจริญ" ในขณะที่วงดุริยางค์บรรเลงเพลงอย่างต่อเนื่องใต้ระเบียงโบสถ์ ก่อนที่พระสันตะปาปาจะปรากฏพระองค์ที่ระเบียงมหาวิหารเซนต์ ปีเตอร์
และพระคาร์ดินัล โดมินิค มัมเบอร์ติ ได้ประกาศเป็นภาษาละตินว่า "ฮาเบมัส ปาปาม" (Habemus papam!) ที่แปลว่า "เรามีพระสันตะปาปาแล้ว" ตามด้วยการประกาศพระนาม "เลโอที่ 14" ที่พระสันตะปาปาทรงเลือก
“และทรงทักทายประชาชนเป็นภาษาสเปน และอิตาเลียน ซึ่งมีใจความสำคัญ คือ ทรงเรียกร้องให้เกิดสันติภาพและแสดงความเคารพต่อพระสันตะปาปาฟรานซิสผู้ล่วงลับ”
ประสูติที่นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 กันยายน ปี 2498 ในครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี ในปี 2521 ได้เข้าร่วมคณะเยซูอิต (Jesuit) และได้รับการบวชเป็นบาทหลวงในปี 2528 พระองค์ได้ชื่อว่า มีประสบการณ์ทำงานในหลากหลายบทบาท ทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาใต้ โดยทรงเคยดำรงตำแหน่งอธิการคณะเยซูอิตในภูมิภาคนั้น ช่วงระหว่างปี 2542-2547
ต่อมาในปี 2557 ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นบิชอปแห่งเขตศาสนปกครองชิคยากาเมกาในเปรู จนกระทั่งในปี 2564 ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาฟรานซิส ให้ดำรงตำแหน่ง "หัวหน้าสมณกระทรวงเพื่อบิชอป" (Dicastery for Bishops) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการคัดเลือกบิชอปทั่วโลก และตำแหน่งนี้ทำให้พระองค์เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลสูงในวาติกัน ก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปา
ข้อมูลของ "คอลเลจ ออฟ ลิเบอรัล อาร์ต แอนด์ ไซเอินซ์" (College of Liberal Arts and Sciences) หรือ ซีแอลเอเอส (CLAS) ที่มหาวิทยาลัยวิลลาโนวา (Villanova University) ระบุว่า พระสันตะปาปา ลีโอที่ 14 ทรงสำเร็จการศึกษา "วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์" เมื่อปี 2520 ก่อนจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาเทววิทยา ที่ "คาทอลิก ธีโอโลจิคัล ยูเนียน" (Catholic Theological Union) หรือ ซีทียู (CTU) ในปี 2525
พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงมีแนวคิดสายกลาง ใกล้เคียงกับพระสันตะปาปาฟรานซิส โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ที่ถูกกีดกันทางสังคม และผู้อพยพ ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะทรงเคยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่เปรู ถึงขนาดแปลงสัญชาติเป็นพลเมืองเปรูด้วยซ้ำ
พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงเป็นที่รู้จักในพระนาม "ฟาเธอร์บ๊อบ" หรือ "บาทหลวงบ๊อบ" (Father Bob) ผู้วางตัวเป็นชาวอเมริกันที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่ชาวอเมริกัน (least American of the Americans) แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็น "นักปฏิรูปเงียบ" ที่จะมาสานต่อ "ภารกิจ" ของพระสันตะปาปาฟรานซิส
นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่าทรงเป็นแฟนกีฬาตัวยงอย่าง เทนนิส และเบสบอล ซึ่ง จอห์น เพรวอสต์ น้องชายของพระองค์ เปิดเผยว่า ทรงเป็นแฟนของทีมเบสบอล "ชิคาโก ไวท์ซอกซ์" (Chicago White Sox)
แน่นอนว่า การขึ้นเป็นองค์ประมุขแห่งศาสนจักรที่ยิ่งใหญ่อย่างนิกายโรมันคาทอลิก ย่อมต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านต่างๆ รวมถึงการลดลงของจำนวนสมาชิกในยุโรปและอเมริกาเหนือ, การโต้แย้งกันเกี่ยวกับการปฏิรูปศาสนจักร เช่น สิทธิของกลุ่มแอลจีบีทีคิวพลัส (LGBTQ+) และบทบาทของสตรีในคริสตจักร รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยม และกลุ่มก้าวหน้าในวาติกัน
และที่สำคัญคือ การเป็น "ชาวอเมริกัน” อาจทำให้ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านภาพลักษณ์ในบางภูมิภาคที่มองสหรัฐฯ ในแง่ลบด้วยก็เป็นได้