สำนักงานการบริหารและงบประมาณ (OMB) ของสหรัฐฯ เผยแพร่แถลงการณ์นโยบายของรัฐบาลที่ระบุว่า ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขจากโรคโควิด-19 ที่มีกำหนดหมดอายุในวันที่ 1 มี.ค. และ 11 เม.ย. ตามลำดับ จะได้รับการขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ 11 พ.ค. ซึ่งจะเป็นวันสิ้นสุดการบังคับใช้ประกาศทั้งสองฉบับ
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นก่อนสภาผู้แทนราษฎรที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากจะลงมติในวันอังคารต่อร่างกฎหมายที่เสนอโดยรีพับลิกันกำหนดให้ยุติสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในทันที
OMB ระบุในแถลงการณ์ว่า “การยุติประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างกะทันหันอาจสร้างความโกลาหลและความไม่แน่นอนในวงกว้างในระบบสาธารณสุข ทั้งในระดับรัฐ โรงพยาบาลและบุคลากรการแพทย์ และที่สำคัญ ประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน”
แต่ทางการชี้แจงว่า จะใช้เวลาช่วงขยายสถานการณ์ฉุกเฉินในการเปลี่ยนผ่านสู่ขั้นตอนการรับมือโรคโควิด-19 ตามแนวทางปกติ และจะไม่มีการจำกัดพฤติกรรมส่วนบุคคลเพื่อควบคุมการระบาด ไม่บังคับสวมหน้ากากหรือฉีดวัคซีน ไม่ควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียนหรือธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือชุดตรวจโควิด-19
ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ที่บังคับใช้เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2563 ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และทรัมป์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติในเดือน มี.ค. 2563 หลังจากนั้นรัฐบาลไบเดนขยายเวลาประกาศทั้งสองฉบับหลายรอบ
ภายใต้ประกาศดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐฯ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับวัคซีนโควิด-19 การตรวจหาเชื้อ และการรักษาให้กับประชาชน แต่เมื่อประกาศนี้ถูกยกเลิก การบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้จะเป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานสาธารณสุขในระบบปกติ และโรงพยาบาลจะไม่ได้รับเงินสนับสนุนพิเศษสำหรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19
นอกจากนี้มีรายงานว่า ราคาวัคซีนโควิด-19 อาจพุ่งสูงขึ้นเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ หยุดสั่งซื้อ โดยไฟเซอร์ประกาศแล้วว่าจะปรับราคาเพิ่มเป็น 130 ดอลลาร์ต่อโดส
ส่วนสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตสะสมรวม 1.1 ล้านราย นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดในปี 2563 ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงผู้เสียชีวิตเกือบ 3,700 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะที่ในวันจันทร์ องค์การอนามัยโลก ยืนยันว่า โรคโควิด-19 ยังคงเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก แม้คณะที่ปรึกษาของอนามัยโลก พบว่า การระบาดอาจใกล้ถึงจุดเปลี่ยนเกม ที่ระดับภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19