อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าวเมื่อวันจันทร์แสดงความเห็นเป็นครั้งแรกต่อการเสียชีวิตของนางสาว มาห์ซา อามินี วัย 22 ปีระหว่างให้โอวาทในพิธีจบการศึกษาของวิทยาลัยการทหารที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจในกรุงเตหะรานเมื่อวันจันทร์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาหัวใจสลายอย่างยิ่ง และเป็นเหตุการณ์น่าขมขื่น
แต่เขากล่าวปกป้องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในการสลายการประท้วงรุนแรง ที่มีชนวนเหตุจากการเสียชีวิตของอามินีและยืดเยื้อนานกว่าสองสัปดาห์
กลุ่มสิทธิมนุษยชน ระบุว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งรวมถึงตำรวจ และกองกำลังอาสา “บาซิจ” ใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 130 ราย และผู้บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน รวมทั้งผู้ถูกจับกุมอีกหลายพันคน
ผู้นำสูงสุดอิหร่าน กล่าวว่า เหตุจลาจลและเหตุการณ์ไม่สงบเหล่านี้ถูกวางแผนโดยสหรัฐฯ และอิสราเอล โดยมีคนที่รับเงินเดือนของพวกเขา ซึ่งรวมถึงชาวอิหร่านคนทรยศในต่างประเทศบางคนให้การช่วยเหลือ
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการใช้กำลังรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วงที่ชุมนุมอย่างสันติ และบอกด้วยว่า ในสัปดาห์นี้สหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการลงโทษเพิ่มเติมกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรต่อตำรวจศีลธรรมของอิหร่าน และผู้นำ 7 คนในหน่วยงานความมั่นคงอิหร่าน ที่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม สมาชิกภาคประชาสังคม ผู้เห็นต่างทางการเมือง และนักเคลื่อนไหวสิทธิสตรีเป็นประจำ
อามินีถูกจับกุมโดยตำรวจศีลธรรมในกรุงเตหะรานเมื่อวันที่ 13 ก.ย. เนื่องจากไม่สวมฮิญาบคลุมศีรษะ และมีอาการโคมาจนสียชีวิตในอีก 3 วันต่อมา ทางครอบครัว กล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ใช้กระบองทุบตีศีรษะและจับศีรษะกระแทกกับรถตำรวจ แต่ตำรวจอ้างว่า เธอมีภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
การเสียชีวิตของเธอจุดชนวนการประท้วงที่ลุกลามทั่วอิหร่าน ซึ่งเป็นการแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลอิหร่านครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี และเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ยุติการปกครองประเทศโดยนักการศาสนาอิสลามมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี นอกจากนี้การประท้วงยังขยายวงกว้างไปอีกหลายประเทศทั่วโลกเพื่อสนับสนุนผู้ประท้วงในอิหร่าน