ภายหลังจากตำรวจไซเบอร์ ตำรวจปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เข้าตรวจค้นบ้านพัก "น.ส.พิชญ์นรี ตันติวิทย์" หรือ "เม พรีมายา" เจ้าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้ชื่อแบรนด์ PRIMAYA (พรีมายา) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ในความผิดฐานโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ที่ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
ทำให้ชื่อของ “เม พรีมายา” จากที่เคยโด่งดังอยู่แล้วยิ่งเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น ชนวนเริ่มต้นของดราม่าแบรนด์พรีมายา มาจากโพสต์เพียงแค่โพสต์เดียวเท่านั้น ทำให้ชาวเน็ตเริ่มผิดสังเกตและขุดคุ้ย
โดยโพสต์ต้นเรื่องนั้นมาจากลูกข่ายคนสนิทของ “เม พรีมายา” ที่ลงภาพยืนข้างรถหรู พร้อมเล่าสตอรี่เรื่องราวว่า ประสบความสำเร็จได้ด้วยเงินลงทุนเพียง 6,000 บาท ที่เป็นเงินก้อนสุดท้ายโดยนำมาลงทุนกับแบรนด์ดังกล่าว แถมยังระบุอีกว่าใช้เวลาลงทุนเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น ก็สามารถสร้างรายได้มากถึง 15 ล้านบาท
โพสต์ที่พูดถึงนี้เข้าข่ายโฆษณาเกินจริง จนเป็นเหตุให้ชาวเน็ตเริ่มทำงานทันที เริ่มจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งอินบ็อกซ์สอบถามไปยังเพจโชว์รูมรถหรู ว่าได้มีการซื้อขายรถคันดังกล่าวจริงหรือไม่อย่างไร ก็ได้รับการยืนยันว่ายังไม่มีการซื้อขายรถแต่อย่างใด
ยิ่งทำให้นักสืบโลกโซเชียลทำงานกันอย่างหนัก พากันจับตามองแบรนด์พรีมายา บางคนก็เข้าไปสังเกตว่าเสื้อแบรนด์ดังที่ลูกข่ายใส่นั้นก็ไม่ใช่ของจริง บางรายบอกว่าแบรนด์นี้ขายสินค้าลดน้ำหนัก แต่ลูกข่ายไม่ได้มีหุ่นผอมเพรียว เมื่อกระแสต่อต้านเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ก็เกิดแฮชแท็ก #พรีมายา จนติดเทรนด์ในโลกทวิตเตอร์
หลังจากนั้นทางเพจเฟซบุ๊ก ก๊อต ออฟ วอร์ V.2 ได้ออกมาเปิดเผยงบกำไรขาดทุนของทาง "บริษัท พรีม่า มายา จำกัด" ระบุว่าในปี พ.ศ. 2564 ทางบริษัทมีรายได้ทั้งหมด 33 ล้านบาท กำไรอีก 8 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2565 มีการโพสต์ข้อความว่าขายได้กำไร 15 ล้านบาท ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่ากำไรจากขายสินค้า 15 ล้านบาท ที่มาจากตัวแทนเพียงแค่คนเดียวนั้นอาจไม่เป็นความจริง
ยิ่งได้เห็นการเปิดเผยงบกำไรขาดทุน ยิ่งทำให้ชาวเน็ตหลั่งไหลกันเข้าไปแสดงความคิดเห็น ยังมีบางรายคอมเมนต์ว่า สินค้าของทางแบรนด์พรีมายา ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก บ้างก็ว่ามีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ หรือบางคนเลิกรับประทานก็เกิดโยโย่ เอฟเฟกต์ บ้างก็ถามหาถึงความน่าเชื่อถือของสินค้าว่าผ่านอย.หรือไม่
แม้ทางเจ้าตัวจะกล่าวกับสื่อมวลชนว่า ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงใครทั้งสิ้น แต่เรื่องราวนี้ก็ต้องจับตามองกันต่อไป