นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงในช่วงปีนี้ จากปัจจัยราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงและทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเร็วและแรง อย่างพร้อมเพรียงกันมากสุดในรอบ 50 ปี
ซึ่งมีผลต่อเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับแข็งค่าขึ้นมาก เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทำให้เกิดการตึงตัวของภาวะการเงินโลก
ทั้งนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากสุดนับตั้งแต่ปี 2007 (ปี 2550) ขณะที่เศรษฐกิจของไทย ในช่วงต้นปี เพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยยังมีความเปราะบาง การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง แต่ระยะถัดมา เริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลายด้วยตัวเอง
ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีความอ่อนไหวน้อยต่อสถานการณ์ด้านต่างประเทศ ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จึงทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป
ขณะที่ ธปท. มีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยเน้นเฉพาะจุดแบบตรง กลุ่มเป้าหมาย ร่วมกับการเข้าไปดูแลค่าเงินในบางช่วง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถประคองตัวและเริ่มฟื้นกลับมาได้ดังเช่นในปัจจุบัน
ส่วนการจะกลับมาเห็นการดำเนินนโยบายการเงินแบบภาวะปกติ (Policy Normalization) ได้ในช่วงใดนั้น ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะขึ้นกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2566 ด้วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า จะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เข้าใกล้กับจุดที่มีศักยภาพแล้วหรือยัง และเงินเฟ้อจะไม่สร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจจริงหรือไม่ ซึ่งหากทุกอย่างเข้าสู่ภาวะ Smooth take off ก็ไม่จำเป็นที่แนวนโยบายการเงินจะต้องปรับแบบกระชาก หรือเปลี่ยนทิศทาง
ทั้งนี้เห็นว่านโยบายการเงินแบบที่ กนง. ได้ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ยังมีความจำเป็นต้องทำต่อไปอีกระยะ เพราะเศรษฐกิจไทยยังไม่อยู่ในจุดที่ทุกอย่างเข้าสู่สมดุล
สำหรับตัวแปรที่จะให้เงินเงินเฟ้อในปีหน้าสูง หรือต่ำกว่าระดับ 3% มาจาก การส่งผ่านต้นทุนจากผู้ประกอบการที่เร็วกว่าคาด จากต้นทุนการผลิตหลายด้านที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้จะต้องติดตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่ยังมีความไม่แน่นอน เช่น มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้า และค่าครองชีพอื่นๆ รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลให้ราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับลดลงกว่าที่ประเมินไว้
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อไม่เข้ากรอบเป้าหมาย 3% ในปีหน้า ธปท.ได้ติดตาม ในประเด็น การส่งผ่านต้นทุนที่ยังค้างอยู่ของผู้ประกอบการไปที่ราคาสินค้า ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว การส่งผ่านต้นทุนจะทำได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นตัวทำให้เงินเฟ้อไม่ลดลงเร็ว
นอกจากนี้การลดหรือสิ้นสุดของมาตรการบรรเทาค่าครองชีพ เช่น มาตรการช่วยค่าไฟฟ้า ถ้ามาตรการไม่เป็นไปตามที่ธปท.คาดก็อาจจะส่งผลต่อการลดลงของเงินเฟ้อได้
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า การประชุม กนง.ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 พ.ย.65 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 3.2% และปรับขึ้นไปเป็น 3.7% ในปี 66 คาดว่าปี 67 จะเพิ่มเป็น 3.9%
โดยมองว่าเศรษฐกิจในปีนี้และช่วงปีถัดๆ ไป จะมีแรงส่งที่สำคัญจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะลดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้ ซึ่ง กนง.ยังได้ประเมินว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปีนี้ น่าจะไม่ต่ำกว่า 10.5 ล้านคน ส่วนในปี 66 ขึ้นไปอยู่ที่ 22 ล้านคน และในปี 67 ที่ 31.5 ล้านคน
ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนนั้น เริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และรายได้ที่ปรับดีขึ้น จำนวนผู้ว่างงานในช่วงไตรมาส 3/65 และจำนวนชั่วโมงการทำงานในภาพรวมดีขึ้น ผู้ที่ไม่ได้ทำงานในช่วงก่อนหน้านี้ ได้เริ่มทยอยกลับเข้าทำงานโดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจ
สำหรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีอยู่ คือ เศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีน ที่อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย ขณะที่ยังมีปัจจัยหนุนสำคัญ คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าที่คาดไว้ และจีนมีการผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศได้เร็วกว่าคาด