นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้าว่า เศรษฐกิจไทยจะเจอกับความท้าทาย จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังจากธนาคารหลักของโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเสี่ยงเรื่อง สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงาน ราคาอาหาร และเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง กระทบการส่งออก โดย ธปท.คาดว่าส่งออกปี 66 จะโตเพียง 1% แต่คาดว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจจะมาจากการท่องเที่ยวปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 20 ล้านคน จากปีนี้อยู่ที่ 10 ล้านคน รวมถึงการฟื้นตัวจากการบริโภคภายในประเทศ คาดว่าจีดีพีไทยโต 3.7% และปี 65 โตประมาณ 3%
สำหรับโจทย์แรกของ ธปท. คือทำให้นโยบายการเงินเข้าสู่สภาวะปกติ ด้วยการการปรับดอกเบี้ยในรูปแบบค่อยเป็นค่อยไป และเหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งเป็นการปรับนโยบายที่อาจจะแตกต่างจากต่างประเทศ แต่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของไทยไม่ได้เหมือนกับต่างประเทศ
ส่วนหน้าที่หน้าที่หลักของธนาคารกลางคือ การรักษาเสถียรภาพด้านราคา โดยผลที่ได้จากการดำเนินมาตรการแบบเฉพาะจุดมากขึ้นคือเงินเฟ้อที่เคยแตะจุดสูงสุดที่กว่า 7% ให้ทยอยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.5% ธปท.คาดว่าจะเห็นเงินเฟ้อกลับเข้ากรอบ 1-3% ในครึ่งหลังของปี 2566
ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน้าที่หลักของธนาคารกลาง พบว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ และเสถียรภาพระบบการเงินยังอยู่เกณฑ์ดี ธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแกร่ง
ทั้งนี้กำลังเร่งแก้ปัญหาหนี้ให้ครบวงจรมากขึ้น โดยระยะข้างหน้าจะให้ความสำคัญตั้งแต่ก่อนก่อหนี้ เช่น การให้ความรู้ทางการเงิน นอกจากนี้ ธปท.ยังให้ความสำคัญกับการปล่อยหนี้ คือการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ ไม่สร้างภาระหนี้มากเกินไปให้กับลูกหนี้
ส่วนนโยบายด้านความยั่งยืนของประเทศต่าง ๆ เป็นโจทย์ที่สำคัญ ทำอย่างไรให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวมเติบโตได้