จากผลสำรวจของกรุงเทพธุรกิจ ถึงความเห็นของผู้บริหารระดับสูง(CEO)องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่หลากหลายกลุ่ม อาทิ ภาคการผลิต ภาคบริการ การเกษตร พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ส่งออก ฯลฯ ต่อผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการทันที
พบว่า กลุ่มผู้บริหารเกินครึ่ง คิดเป็น 58.2% สนุบสนุนให้ “นายเศรษฐา ทวีสิน” นั่งนายกรัฐมนตรีมากที่สุด รองลงมาคือ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” 10.5% และนาวสาวแพทองธาร ชินวัตร 7.7% ตามด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 6.5% และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 6.1% โดยจำนวน 60% ต้องการให้ “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล รองลงมา คือ พรรคก้าวไกล 15.6% พรรคภูมิใจไทย 5.8% พรรคพลังประชารัฐ 4.1% และพรรคสร้างอนาคตไทย 3.5% ตามลำดับ
โดยมี 5 ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่จะต้องดำเนินการเป็นอันดับแรกคือ ปัญหาเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% รองลงมาคือ การแก้ความยากจน ลดความเลื่อมล้ำ 58.7% ปรุงปรุงกฎหมายด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่ทันสมัย 45.2% ดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ 44.2%พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟเร็วสูงท่าเรือน้ำลึก
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าโดยสถานการณ์การเมืองหลังจากนี้ มองแยกได้ 2 ส่วน คือ การเมืองในสภา ที่รัฐต้องให้คำตอบที่ชัดเจนและหาทางออกในบางประเด็น และ การเมืองนอกสภา ที่คาดว่าจะมีการชุมนุมบ้างแต่คงไม่รุนแรงเพราะใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งแล้วเพราะรัฐบาลจะครบกำหนดวาระในเดือน มี.ค.2566
สำหรับนายกฯ คนใหม่นั้น ต้องเน้นแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน เป็นลำดับแรก และยังต้องรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ เป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อย สร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยและต่างชาติเพื่อดึงดูดการลงทุนในระยะยาว ดังนั้นหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นประชาชนทุกคนจะต้องออกมาแสดงพลัง เพื่อนำไปสู่การเลือกนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่สุดต่อไป
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมองว่าเรื่องเร่งด่วนคือการตรึงราคาพลังงาน ให้ได้จนจบไตรมาสที่ 4 เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว รวมทั้งบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากมาตรการดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้อยู่ในระดับเหมาะสม