svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

นักกฎหมายจี้ กสทช. ใช้อำนาจ 'เบรก' ดีลทรู-ดีแทค

06 ตุลาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

อาจารย์นิติศาสตร์ จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ประสานเสียง ชี้ กสทช. มีอำนาจเต็มมือพิจารณาดีลควบรวมทรู ดีแทค เตือนให้ใช้อำนาจตามกฎหมายและหลักนิติธรรม หากยังเพิกเฉย ระวังเข้าข่ายใช้อำนาจโดยไม่ชอบ

วงเสวนา “กสทช. กับหลักนิติธรรม และเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญในการกำกับดูแลคลื่นความถี่สาธารณะ ไม่ใช่นิติ (เพื่อ) ทุน” นักกฎหมาย - นักวิชาการ ประสานเสียง กสทช. มีอำนาจพิจารณาดีลควบรวมดีแทค - ทรู กสทช. แต่ไม่ใช้อำนาจตัวเอง เตือน กสทช. ต้องใช้อำนาจตัวเองตามกฎหมาย และหลักนิติธรรม หากยังไม่พิจารณาระวังจะเข้าข่ายใช้อำนาจโดยไม่ชอบ

 

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ระบุ กสทช. จำเป็นต้องฟังเสียงของประชาชนในการถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ใช่การทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนเพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้าหากไม่ฟังก็ควรจะไปอยู่กำกับดูแลของรัฐแทน แต่ กสทช. คือองค์กรอิสระที่มีสิทธิในการกำกับดูแล เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ฉะนั้นเมื่อเกิดการทักท้วงถึงปัญหาการควบรวมกิจการ กสทช.ต้องฟังและนำไปพิจารณา ปัญหาคือทำไม กสทช. ไม่ยอมไปพิจารณา พยายามไม่อยากตีความทั้ง ๆ ที่ตนเองมีหน้าที่ในการทำ จากการตรวจสอบข้อมูลของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้มีการตีความให้ กสทช. สั่งการให้ตัดสินในการให้หรือไม่อนุญาตให้ควบรวมก็ได้ด้วยซ้ำ การพยายามไม่ตัดสินใจก็ถือว่าเป็นการทำเป็นไม่รู้ว่ามีข้อกฎหมาย และเสมือนอนุญาตโดยนัยแล้ว การที่ กสทช.บอกว่า การควบรวมดีแทค - ทรู เป็นแต่วาระแจ้งให้ทราบ เท่ากับว่าเป็นการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมซึ่งไม่ใช่การรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งอาจจะเข้าข่ายการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยเช่นกัน

นักกฎหมายจี้ กสทช. ใช้อำนาจ 'เบรก' ดีลทรู-ดีแทค

ดังนั้น จึงต้องการให้คณะกรรมการ กสทช.ทำหน้าที่นำเรื่องการควบรวมกิจการเข้าสู่การพิจารณา เพราะ กสทช.มีหน้าที่ทำตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 60 ที่ต้องคำนึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน หากไม่ทำเรื่องอาจจะต้องถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หากวันที่ 12 ตุลาคม กรรมการ กสทช. ยังพิจารณาว่าเดินหน้าในการควบรวมก็ขอให้รับผิดชอบสิ่งที่ทำด้วย

 

ด้านอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.ณรงค์เดช สุรโฆษิต ระบุ ตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติโทรคมนาคม กล่าวตอนหนึ่งให้ กสทช. ทำหน้าที่ที่ไม่ให้ผู้ประกอบการทำให้เกิดการผูกขาดหรือลดการแข่งขันในกิจการ รวมถึงยังมีกฎหมายที่ให้ กสทช. ดูแลการควบรวมกิจการ ซึ่งปัญหาหลัก ๆ คือ ในแง่ของกฎหมายที่อยู่ในปี 2549 หรือต้องใช้ของปี 2561 แต่สิ่งสำคัญคือการควบรวมกิจการต้องเกิดจากการอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลเท่านั้น สิ่งที่ กสทช. จะต้องทำจากดีลดีแทค - ทรู คือดีลนี้อยู่ในกฎหมายไหน กสทช.ต้องมีหน้าที่ในการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และหลังจากนั้นก็ดำเนินการตามขั้นตอนและทำให้เกิดการแข่งขัน

ปัญหาอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดการตั้งคำถามคือ กสทช. มีอำนาจจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งเมื่อดูกฎหมายแล้ว กสทช. มีอำนาจทั้งการอนุญาต หรือควบคุมการควบรวม ตามกฎหมายของปี 2549 กำหนดว่าการเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้นมากกว่า 10% ของผู้ได้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมด เพื่อให้มีสิทธิ์กำหนดนโยบาย ต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช. ก่อนเท่านั้น จะกระทำก่อนไม่ได้ หากตีความตามกฎหมายปี 2549 กสทช. ต้องทำหน้าที่ในการอนุญาตตั้งแต่ต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการตีความของ กสทช.เอง แต่ทั้งนี้ตามแผนแม่บทและตามกฎหมาย กสทช. ยังคงมีสิทธิ์ในการพิจารณาและสั่งการอยู่ และจากการดีลของดีแทค - ทรู จากการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็เข้าข่ายควบรวมในกิจการเดียวกัน ซึ่ง กสทช. ต้องใช้อำนาจในการสั่งการด้วยเช่นกัน

นักกฎหมายจี้ กสทช. ใช้อำนาจ 'เบรก' ดีลทรู-ดีแทค

ด้านอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค สุภิญญา กลางณรงค์ ระบุ หากพูดถึงการก่อตั้งของ กสทช. นั้นก็ต้องคงพูดถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ที่ทำให้เกิดองค์กรอิสระที่ไม่ใช่ของรัฐออกมา และ กสทช. ก็ได้รับสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ

 

แต่ในช่วงปี 2561 มีความพยายามแก้ไขเพื่อทำให้อำนาจของ กสทช. ในการกำกับดูแลสิทธิ์และบริหารจัดการ รวมถึงการลดการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมนั้นลดน้อยถอยลงไป ซึ่งล้วนเป็นเจตนารมณ์ที่เขียนไว้ในพระราชบัญญัติของ กสทช. และถ้าหากดูแผนแม่บทของ กสทช. ฉบับที่ 2 ก็จะพบว่ามีการพูดถึงการแข่งขันที่เป็นธรรม และมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นที่ครบถ้วน รวมไปถึงการมีอำนาจในการไม่ทำให้ตลาดเกิดการผูกขาด ซึ่งถ้าหาก กสทช. ไม่ทำก็อาจจะถูกตั้งข้อสงสัยว่าองค์กรทำงานครบถ้วนหรือไม่ จุดอ่อนตรงนี้อาจจะทำให้ถูกฟ้องได้เลยหรือไม่ สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งที่รัดกุมและทำตามหลักนิติธรรมมากที่สุด

 

กสทช. ไม่สามารถใช้วิธีการศรีธนญชัยในการตัดสิน  กสทช. คือตัวแทนรัฐและสังคมในการทำสัญญากับเอกชน และเอกชนถ้าหากต้องการเปลี่ยนแปลงสัญญาก็ต้องมาขออนุญาต กสทช. ซึ่ง กสทช. ต้องทำหน้าที่ตรงนี้ ไม่ใช่เป็นนายทะเบียนเพียงอย่างเดียว เพื่อไม่ให้กระทบต่อรัฐและสังคม

 

ด้านเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค สารี อ๋องสมหวัง ระบุ ปัจจุบัน กสทช. ไม่ได้ดำเนินการตามหลักนิติธรรม โดยจากกรณีการควบรวมกิจการ ดีลทรู-ดีแทค พบว่ากฤษฎีกาและผู้เชี่ยวชาญได้ตัดสินแล้วมีความเห็นตรงกันว่า กสทช. ควรใช้อำนาจตนเองในการตัดสินไม่ควบรวมดีแทค - ทรู เนื่องจากปัญหาของประชาชนหลังจากควบรวม คือการที่ต้องจ่ายค่าโทรศัพท์แพงมากขึ้นประมาณ 244.5% หากเกิดการควบรวมแล้วก็อาจจะส่งผลทำให้การแข่งขันน้อยลง หรือไม่มีเลยก็ได้

 

ดังนั้น กสทช. ควรใช้อำนาจของตนเองที่ทำให้ไม่เกิดการผูกขาดและสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันของกิจการโทรคมนาคม ซึ่งหากไม่ใช้อำนาจทางฝั่งผู้บริโภคก็จะดำเนินการตามหลักนิติธรรมต่อไป แน่นอนว่า กสทช. ไม่ได้มีหน้าที่ในการพัฒนาเทคโนโลยี แต่มีหน้าที่ที่จะรักษาสิทธิของผู้บริโภคและทำให้เกิดการแข่งขัน เพื่อให้ประชาชนมีตัวเลือกในการใช้บริการต่อไป

logoline