
11 พฤศจิกายน 2567 ที่ บ้านพระอาทิตย์ นาย ปานเทพ พงษ์พัวพันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เเละ ผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ ออกมาเปิดเผย หลังจากที่ นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของทนายตั้ม ออกมาเปิดเผยแนวทางการต่อสู้ของทนายตั้ม รวมถึงความคืบหน้าขบวนการต้มตุ๋น 39 ล้านบาท โดยเชื่อ ว่า
หลังจากนี้จะมีการออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน กรณีทนายสายหยุด ประกาศเเนวทางการต่อสู้ 3 ประเด็นอย่างชัดเจน เห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นศัตรูกับทนายสายหยุด เเละไม่ใช่คู่กรณีกับทนายตั้ม เเต่เห็นว่าเเนวทางการต่อสู้เรื่องการให้ด้วยเสน่ห์หาของทนายตั้ม ไปไม่รอดแน่
ยังมีพิรุธหลายเรื่อง เรื่องเงินที่ประกาศว่าได้รับโดยเสน่ห์หา เเละ ที่กองปราบ ยืนยัน ทนายตั้มพูดเท็จมาโดยตลอด การพูดโดยเสน่ห์ไปไม่รอด เเละ ข้อความที่ให้อาจารย์ยิ่งศักดิ์อ่าน เเต่ไม่มีใครได้เห็น ว่าเป็นบนสนทนาใครกับใคร ก็ไม่รู็ว่าข้อความอะไร ชัดเจนได้ว่าไม่กล้าอ่าน
ถ้าอ่านคู่กรณีเขาจะได้ชี้เเจงได้ชัดเจน เเต่ตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นเงินกู้ยืม เพื่อการลงทุน เพราะเป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขจากเดิม ทำให้มีการให้ข้อมูลกลับไปกลับมา เเสดงว่ามีข้อบกพร่อง หากเป็นไปตามนั้นที่ทนายอ้างก็ต้องถามว่า ถ้าเป็นการให้กู้ยืมเพื่อการลงทุน ก็ต้องมีเงื่อนไขว่า ให้หลังจากวันนั้นใช่หรือไม่ ปัญหาก็คือ มีสัญญากู้ยืมจริงหรือไม่
แต่หลังจากนั้น 3 วัน ไม่ใช่เป็นการให้โดยเสนห์หา เเละ เงินกู้เพื่อการลงทุน หมายความว่าการลงทุนครั้งนี้ต้องเป็นการลงทุนของ พี่อ้อยไม่ใช่ทนายตั้ม ความหมายเพื่อการลงทุนทุนกลายเป็นว่า พี่อ้อยเป็นเจ้าของเเอพลิเคชั่นเอง 71 ล้านบาท ด้วยการทำสัญญาที่ทนายตั้มร่างเอง ให้คนเขียนเเอพลิเคชั่น เซ็นสัญญา เเสดงว่าไม่ใช่การให้ด้วยเสน่หา
เเต่เป็นชื่อชัดเจนว่าเป็นการลงทุนในนามพี่อ้อย หมายความว่าการลงทุนครั้งนี้เป็นทรัพย์สินของพี่อ้อย ไม่ใช่ทนายตั้ม เเต่พอทนายตั้มได้นับเงินเเล้วก็ไปบอกผู้รับเหมาว่า ยกเลิกไม่ทำเเล้ว ก็หมายความว่าเป็นการหลอกใช่หรือไม่ เป็นการอ้างเหตุว่าโครงการจะมีจริง เเต่สุดท้ายโครงการก็ไม่มีจริง
ประเด็นที่ทนายสายหยุดอ้างว่า เป็นการหลบเลี่ยงภาษี จึงเป็นการสร้างสัญญาอำพราง นิติกรรมเพื่อโอนเงินจากต่างประเทศเข้ามา อ้างเหตุการลงทุน เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะพี่อ้อยสามารถนำเงินเข้าจากต่างประเทศ ไม่ต้องเสียภาษีไม่ว่าเงื่อนไขไหน ไม่จำเป็นต้องเอาเอกสารภาษาไทยไปชี้เเจงกับฝรั่่งเศส จึงฟังไม่ขึ้นเรื่องภาษี คำชี้เเจงทนายความสายหยุด กลับไปกลับมาไม่สมเหตุสมผล ในเงิน 71ล้าน
ยังพบพิรุธเรื่องภาษี อ้างว่าโอนเข้าทนายตั้มตรงเสียภาษีหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เเต่เนื่องจากโอนเข้าพี่อ้อยไม่จำเป็นต้องเสียภาษี เเละ ยังอ้างที่หน้ากองปราบว่าต้องจ่าย 5% เพราะให้โดยเสน่ห์หา
เเสดงว่า การอ้างเงื่อนไขภาษีเป็นเท็จ ยังไม่ได้จ่าย ล้วนเเต่มีการโกหกตั้งเเต่ตอนเเรก เเละที่สำคัญพยานที่มีการสืบ ให้การตรงกันหมดว่า เป็นการให้โดยพี่อ้อยโดยตรง เเต่ก็เห็นใจทนายความสายหยุดที่ต้องสู้ไปตามกระบวนการ เเต่ตนก็มีข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่มานำเสนอว่ามันไม่ใช่
ส่วนเรื่องรถยนต์หรูของพี่อ้อย ที่อ้างค่าหน้านาย ยืนยันว่า ไม่มีค่านายหน้าสูงถึง 1.5 ล้านบาท มิเช่นนั้นบริษัทคงไม่ได้กำไร เเละ ที่สำคัญไม่มีใครขายราคานี้ มีการบวกเพิ่มไม่เเจ้งพี่อ้อย ปกปิดความจริง ผิดราคาตลาดเวลานั้นอย่างชัดเจน เพราะมีการเสนอ 2 เงื่อนไขให้ทนายตั้ม เเต่ทนายตั้มสร้างหลักฐบาน ให้พี่อ้อยเห็นอีกตัวเลขหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องของค่านายหน้า เเต่เป็นการปกปิดอำพรางข้อเท็จจริง
เรื่องที่ 3 เรื่องเงิน 9 ล้านบาท ล้าน 71 ล้านบาท ทนายตั้มรับเองทั้งหมด มีกระบวนการ การนำเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวทนายตั้มทั้งหมด โดยอ้างเป็นผู้จัดการโครงการ เพราะพี่อ้อยยุติ การก่อสร้างไม่ได้ยุติการออกเเบบ
ปัจจุจบันมีเงินอยุ่กับทนายตั้ม ทั้งหมดไม่ใช่เพราะทนายตั้มยอมรับ เเต่เขาถูกสื่อจับได้ ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงได้ วันเเรกที่พี่อ้อยมาเจอเรา คำนึงเเค่ 71 ล้านบาท เเต่การเพิ่มคดีมา 13 ล้านบาท 9 ล้านบาท รวมถึง 39 ล้านบาท ที่ยังไม่สิ้นสุดการสอบสวน มันเกิดเเรงผลักดันจากสื่อมวลชน จึงเพิ่มข้อหาในภายหลัง เมื่อทั้งสามเหตุผล เป็นการต่อสู้กับทนายตั้ม ทางพี่อ้อย ก็จะต่อสู้ถึงที่สุด เเละทางเราไม่ได้เป็นทนายให้
ส่วนการเเก้ข่าวลง "มี่" เเละ "เตอร์" ที่ตอนนี้มีสื่อจำนวนมากไปทำข่าว ติดตามถึงที่บ้าน อาจะเป็นการเข้าใจผิดว่า มี่เเละเตอร์ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับทนายตั้ม ในเงิน 39 ล้านบาท ยืนยันว่า มี่ เเละ เตอร์ เป็นผู้เสียหายจึงมาเป็นพยาน เเละ เป็นพยานที่รู้เรื่องอย่างดี มีความพยายามทำให้เกิดความหลงผิดว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด โดยเฉพาะการปล่อยข่าว ว่ามีไปถอนเงิน 39 ล้านบาท เเท้ที่จริงคนที่ชื่อ "มี่" ที่อยู่ที่สุราษฏ์ธานี
ยืนยันว่า วันที่มีการเบิกเงินสด ทั้ง 2 คนอยุ่ที่สุราษฎร์ธานี ไม่ได้อยุ่กรุงเทพฯ ไม่ได้สมรู้ร่วมคิด เเบ่งเงินได้ เพราะตนได้เจอ "มี่" เเละ "เตอร์" เเล้ว ทั้งคู่ ได้เห็นหลักฐานจีพีเอส ชัดเจน ดังนั้นเป็นการปล่อยข่าวลือให้ผู้สุจริต เป็นผู้ต้องสงสัย ตนเองจึงต้องออกมาเเก้ข่าวให้ หวังว่าตำรวจ จะต้องเร่งดำเนิการโดยเร็วที่สุด
ส่วนประเด็นน.ส.สารินี ภรรยาของ นายนุ คนสนิท ทนายตั้ม ไปลงบันทึกประจำวัน ที่สน.บางซื่อ ว่า ถูกดูดเงินจากบัญชีที่ใช้โอนบิทคอยน์ ตั้งแต่ 23 พ.ค. 2566 โดยความจริงแล้วสาลินีไม่ได้เป็นผู้โอนเงินบิทคอยน์ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ชัดเจนแล้วว่าทนายตั้มมีการร้องขอไปยังผู้กำกับ สน.บางซื่อ ซึ่งเป็นเพื่อนกัน อีกทั้งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความสนิทสนมกัน
ส่วนในเนื้อหาการบันทึกประจำวัน ที่อ้างว่าใครก็บันทึกประจำวันได้ แต่ความจริงแล้วเนื้อหามีการระบุตอนท้ายว่า เป็นการแจ้งความแต่ไม่ได้ดำเนินการทางคดีต่อ จึงทำให้พี่อ้อยเชื่อถือว่าเป็นการแจ้งความจริง แต่ใบบันทึกประจำวันนั้นไม่มีเอกสารหลักฐานแนบด้วย เหตุนี้ยิ่งทำให้มีพิรุธ
ส่วนตัวจึงอยากตั้งคำถามว่าทำไมถึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้ ทำไมเจ้าพนักงานจึงรับลงบันทึกประจำวันทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐาน จึงตั้งคำถามว่าเป็นขบวนการทำให้พี่อ้อยหลงเชื่อใช่หรือไม่ ดังนั้นหลังจากนี้ต้องมีการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ว่าจริงๆแล้วความสัมพันธ์ของตัวบุคคลมีมากกว่านี้หรือไม่
ด้านประเด็นเรื่อง "ทนายเดชา" ที่มีการพาดพิงถึง "คุณสนธิ ลิ้มทองกุล" นั้น เมื่อเช้า "คุณสนธิ" ได้ไลฟ์สดแล้วว่าเขาไม่ให้ราคาเดชา แต่ได้ทำการแคปรูปที่ทนายเดชาโพสต์ทุกข้อความอันเป็นเท็จ อย่างกรณีเงิน 1,078 ล้านบาท ที่อ้างว่าโกงธนาคารนั้น ไม่ปรากฏข้อความนี้ในคำพิพากษาเลยสักข้อความเดียว แล้วคุณสนธิฟ้องคนกล่าวหาแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ชนะคดีตลอด สิ่งที่พูดเป็นการพูดเลื่อนลอย เป็นเท็จ หลังจากนี้จะดำเนินคดีความตามกฎหมายต่อไป