19 กรกฎาคม 2567 ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะผู้อำนวยการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลความคืบหน้าคดีขโมยเรือน้ำมันเถื่อนของกลางเครือข่ายเสี่ยโจ้ ปัตตานี หลังมีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 3 รายประกอบด้วย นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ ปัตตานี , นายสมเกียรติ จิรณรงค์พัฒน์ , นายสำเริง อินทชัย
ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งทรัพย์สินอันเจ้าพนักงานได้ยึดรักษาไว้เพื่อเป็นหลักฐานฯ” รวมถึงเชิญตัว น.ส.อนันตญา ขันเอียด และ นายนรินทร ร่มเกตุ มาแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดเดียวกัน พร้อมกระจายกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 13 จุด แบ่งเป็นพื้นที่ จ.สมุทรปราการ 1 จุด, จ.สมุทรสาคร 2 จุด, จ.เพชรบุรี 2 จุด, จ.สงขลา 2 จุด และ จ.ปัตตานี 6 จุด
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มี.ค.67 ตำรวจกองปราบฯ ร่วมกับตำรวจน้ำ, กรมสรรพสามมิตร และกรมเจ้าท่า จับกุมเรือน้ำมันเถื่อนจำนวน 5 ลำ ผู้ต้องหา 28 คน พร้อมตรวจยึดน้ำมันเถื่อนของกลาง 325,000 ลิตร ก่อนนำไปจอดเก็บไว้ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี ต่อมาปรากฎว่าเรือของกลางดังกล่าวได้หายไป 3 ลำ ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่า มีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 15 คน เป็นลูกเรือหรือกลุ่มผู้ต้องหาเดิม 14 ราย ส่วนอีกรายเป็นคนนอก ก่อนเร่งนำกำลังออกไล่ล่าติดตาม จนสามารถตามเรือของกลางที่หายไปกลับคืนได้ทั้งหมด พร้อมจับกุมลูกเรือได้จำนวน 8 ราย
จากนั้นจึงเร่งขยายผล ก่อนพบว่านอกเหนือจากผู้ต้องหากลุ่มแรก 15 ราย ยังมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องด้วย หลังแนวทางสืบสวนพบว่า เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค. นายสมเกียรติ พร้อมด้วยนายสำเริง ได้นัดหมายไต้ก๋งเรือให้มาพบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.สัตหีบ เพื่อพูดคุยเตรียมการวางแผนขโมยเรือ โดยนำวิทยุสื่อสาร กับเครื่องมือนำทาง GPS มาให้กับไต๋เรือ ทั้ง 3 ลำไว้ เนื่องจากเครื่องเดิมถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดไป จากการถูกจับกุ่มในครั้งก่อน พร้อมทั้งสั่งให้จัดเตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้เป็นเสบียงระหว่างหลบหนี
กระทั่งเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. มีการประกาศเตือนว่า จะมีคลื่นสูง 1-2 เมตร และฝนฟ้าคะนอง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำจึงขยับนำเรือออกไปจอดห่างจากฝั่งประมาณ 100 เมตร กลุ่มผู้ต้องหาจึงฉวยโอกาสดังกล่าว นำเรือของกลางหลบหนีซึ่งจากแนวทางสืบสวนเราพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงตัวการใหญ่ที่บ่งชี้ว่า เป็นผู้สั่งการให้นำเรือของกลางหลบหนี คือ นายสหชัย หรือ เสี่ยโจ้ ปัตตานี , นายสมเกียรติ และ นายสำเริง
จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ก่อนนำมาสู่การนำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายทั้ง 13 จุด ในหลายจังหวัด พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาแก่ น.ส.อนันตญา และ นายนรินทร ที่เป็นคนรับโอนเงินจากกลุ่มเครือข่าย เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนผู้ต้องหาตามหมายจับทั้ง 3 คน ไม่พบตัว เนื่องจากหนีกบดานซ่อนตัวอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้สำหรับสำนวนคดีดังกล่าวคาดว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะแล้วเสร็จสรุปสำนวนส่งอัยการได้
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. กล่าวว่า นอกจากเสี่ยโจ้ และ พวกอีก 2 รายที่ถูกออกหมายจับ รวมไปถึง น.ส.อนันตญา และ นายนรินทร ที่ถูกแจ้งข้อหาไปแล้วนั้น ยังมี นางลดาวรรณ (นามสกุล-ธนูสังข์) เสมียนบัญชี ตัวละครสำคัญอีกราย ที่ตอนแรกทางเจ้าหน้าที่จะเชิญตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาเข่นเดียวกัน แต่ในขณะเข้าตรวจค้นทราบว่า เจ้าตัวเกิดไหวตัวทันชิงหลบหนีออกนอกประเทศไปก่อน ทางพนักงานสอบสวนจึงเตรียมเร่งรวบรวมหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับเพิ่มเติมอีกราย
“สำหรับคดีเรือน้ำมันเถื่อนของกลางหายนั้น จากข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ยังไม่พบว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ยืนยันว่าถ้าพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะต้องถูกดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนเรือน้ำมันเถื่อนของกลางทั้ง 3 ลำที่ถูกลักไปจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของเรือก็คือ นายสหชัย
ส่วนอีก 2 ลำที่เหลือนั้นเป็นของนายหนุ่มเพชรบุรี ซึ่งในส่วนของนายหนุ่มนั้น ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยประสานติดต่อให้มาเข้าให้ปากคำ แต่เจ้าตัวอ้างว่าติดโควิด ขอเลื่อนไปก่อน ส่วนความเสียหายจากเรื่อวที่เกิดขึ้นทางศุลกากรได้ประเมินมูลค่าน้ำมันเถื่อนของกลางมาแล้วว่าอยู่ที่ประมาณ 9 ล้านบาท”
ด้าน พล.ต.อ.ไกรบุญ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ยืนยันว่า พยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่า ตัวการหลักคือ นายสหชัย หรือ เสี่ยโจ้ ที่เป็นเหมือนนายทุน คอยสั่งการลงมาที่ลูกน้อง โดยแบ่งหน้าที่กันเป็นในรูปแบบขบวนการ เรามั่นใจจึงขออำนาจศาลออกหมายจับและหมายค้น ซึ่งเจอพยานหลักฐานเพิ่มเติมมากมาย ส่วนเรื่องการติดตามตัวไม่กังวลขอให้มั่นใจว่า สามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้จะเร่งดำเนินการออกหมายแดง ทั้งนี้อยากฝากบอกไปยังเจ้าตัวว่า ขอให้รีบมามอบตัว มาสู้คดีกันดีกว่า ถ้าคิดว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งก็มาสู้คดีเอาหลักฐานมาสู้ในศาล