
เพียงไม่นาน ต้นปี 2567 คดีการเสียชีวิตของ "ป้าบัวผัน" หญิงสูงอายุในพื้นที่จ.สระแก้ว ที่ดูเหมือนเป็นการฆาตกรรมทั่วไป กลับพลิกกลายเป็นคดีที่สั่นสะเมือนวงการสีกากีอีกครั้ง เมื่อสุดท้ายพบว่า ตำรวจมีการนำถุงดำคลุมหัว "ลุงเปี๊ยก" ในระหว่างการสอบสวน ทำให้ต้องยอมรับเป็นผู้ต้องหาในคดี ทั้งที่ผู้ต้องหาตัวจริงคือ กลุ่มเยาวชน 5 คน ที่มีลูกตำรวจรวมอยู่ด้วย
วันนี้ "Nation Story" จะรวบรวมข้อมูลสำคัญของคดีคลุมถุงดำ จากกรณีของ อดีตผู้กำกับโจ้ ถึง คดีลุงเปี๊ยก และ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ แบ่งเป็น 10 ข้อ ดังนี้
1. ช่วงเดือนสิงหาคม 64 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์คลิปเหตุการณ์กลุ่มคนใช้ถุงพลาสติกสีครีมคลุมศีรษะผู้ต้องหา ก่อนที่จะตะโกนสั่งผู้ต้องหาด้วยเสียงที่ดังว่า "บอกให้อยู่เฉย ๆ" และสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำกุญแจไพร่หลัง แต่ผู้ต้องก็พยายามดิ้นร้องขอชีวิตว่า "ปล่อย ๆ" ชายทคนเดิมได้สั่งการย้ำว่า ให้อยู่นิ่ง ๆ แล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
2. ความจริงในเวลาต่อมาพบว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดใน “ห้องกาแฟ” เป็นห้องทำงานของชุดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ชป.05 ของ สภ.เมืองนครสวรรค์ นายตำรวจที่สั่งการคือ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ กำลังรีดเค้นข้อมูลจาก นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือมาวิน ผู้ต้องหายาเสพติด ก่อนใช้ถุงดำคลุมศีรษะจนสิ้นใจ และตกเป็นข่าวโด่งดังทั่วโลก
3. วันที่ 8 มิ.ย. 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาประหารชีวิต อดีตผู้กำกับโจ้ และจำเลยอีก 5 คน ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย แต่ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากมีการเยียวยาโดยจ่ายค่างานศพ และมอบค่าเสียหายให้พ่อแม่ผู้เสียชีวิตคนละ 3 แสนบาท รวม 6 แสนบาท
ส่วนจำเลยที่ 6 คือ ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น เป็นเพียงคนเดียวที่ศาลพิพากษาว่าไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าฯ แต่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ให้ลงโทษจำคุก 8 ปี แต่มีเหตุให้ลดโทษเหลือ 5 ปี 4 เดือน
4. พ.ร.บ.อุ้มหายฯ หรือ พระราชบัญญัติพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ถือเป็นเผือกร้อนในการพิจารณาของสภาฯ มาโดยตลอด โดยเมื่อเกิดคดีผู้กำกับโจ้ สร้างความสะเทือนใจ รวมถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตประชาชน กระทั่งสุดท้ายการรอคอยกว่า 20 ปีก็สิ้นสุดลง เมื่อสภาฯ ผ่าน พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ในวันที่ 24 ส.ค.2565
5. พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหนังสือลงวันที่ 6 ม.ค.66 ส่งถึง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เรื่อง “ปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565” เสนอให้ขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวออกไป จากเดิมที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 ก.พ. 2566
6. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัย เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2566 ว่า มติ ครม. เลื่อนบังคับใช้ 4 มาตรา จากเดิมจะต้องมีผลบังคับใช้ทั้งฉบับตั้งแต่ 22 ก.พ. 2566 ไปเป็น 1 ต.ค. 2566 อ้างเหตุความไม่พร้อมนั้น พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมฯ ฉบับดังกล่าว ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้กฎหมายทั้งฉบับเต็มมีผลบังคับใช้ย้อนหลังไปถึงวันที่ 22 ก.พ. 2566
7. พ.ร.บ.อุ้มหาย มี 3 หลักการสำคัญ คือ ป้องกัน ปราบปราม เยียวยา เจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดต่อประชาชน ดังนี้
8. บทลงโทษของเจ้าหน้าที่รัฐ หากกระทำผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย มีทั้งโทษจำและปรับ ตามฐานความผิดที่กระทำมีดังนี้
นอกจากโทษที่พูดถึงข้างต้น ยังระบุโทษถึงผู้ให้การสนับสนุน ผู้สมคบ รวมถึงผู้บังคับบัญชาที่ทราบการกระทำผิด ซึ่งมีโทษหนักเบาต่างกันออกไป
ความผิดตามกฎหมายนี้ หมายความว่า หากเจ้าหน้าที่กระทำความผิด ต้องได้รับโทษ ผู้บังคับบัญชารู้เห็นเป็นใจ ไม่ห้ามปราม ต้องได้รับโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้ ถ้าพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นคนสั่ง ผู้บังคับบัญชาจะต้องรับโทษเต็มอัตราโทษที่กำหนด
9. ตำรวจปิดคดีฆาตกรรม "ป้าบัวผัน" อย่างรวดเร็ว มีการนำตัว "ลุงเปี๊ยก" ไปทำแผนฯทันที พร้อมยืนยันว่า พบเจอลุงเปี๊ยกใกล้ที่เกิดเหตุ จึงเชิญตัวมาสอบถาม กระทั่งลุงเปี๊ยกรับสารภาพว่าก่อเหตุฆาตกรรม แต่เวลาต่อมาผู้สื่อข่าวพบกล้องวงจรปิดขัดแย้งกับข้อเท็จจริง นำไปสู้การจับกุม 5 เยาวชนผู้ก่อเหตุตัวจริง และมีลูกตำรวจร่วมกระทำผิด
10. หลักฐานใหม่ถูกเปิดเผย คลิปเสียงการสนทนาระหว่างชายสูงอายุกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยอมรับว่า "ลูกน้องของตำรวจ" เป็นผู้ใช้ถุงคลุมหัวลุงเปี๊ยกจริง อ้างว่า "ทำไปเพราะล้อเล่น" ล่าสุด ผบช.ภ.2 ออกมายืนยันแล้วว่า การกระทำดังกล่าวแม้แต่ล้อเล่นก็ทำไม่ได้ เข้าข่ายผิดพ.ร.บ.อุ้มหาย และบังคับบัญชาตำรวจต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย