2 หนุ่มบริษัท ร้องจี้คดีถูกทหารรุมยำคาร้านสุกี้ หลังคดีไม่คืบ

26 สิงหาคม 2566 พนักงานบริษัทเอกชน 2 คน ซึ่งเป็นผู้เสียหายถูกทหารแซงคิว แย่งโต๊ะในร้านสุกี้ ย่านวงเวียนใหญ่ ก่อนถูกยกพวกรุมทำร้ายร่างกาย เหตุเกิดคืนวันที่ 11 สิงหาคม ต่อเนื่อง 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา พร้อมแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สน.สมเด็จเจ้าพระยา แต่คดีไม่คืบหน้า และ เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเข้าร้องทุกข์กับเพจสายไหมต้องรอด ให้ช่วยเหลือติดตามคดี

โดย ผู้เสียหาย ยืนยันว่า ที่ผ่านมาไม่เคยรู้จักกับกลุ่มผู้ก่อเหตุมาก่อน แต่หลังจากเกิดเรื่อง ตนเองกลับได้รับการประสานจาก พนักงานสอบสวน สน.สมเด็จเจ้าพระยา ขอให้รับเงินเยียวยาจากกลุ่มผู้ต้องหา เพื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยยอมความ แต่ตนเอง ไม่ต้องการรับเงิน และยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด 

 

หลังจากนั้นตนทราบว่า ในจำนวนกลุ่มผู้ก่อเหตุ 4 คน เป็นนายทหาร 2 นาย คนหนึ่งมียศร้อยโท ตำแหน่งรองหัวหน้าชุดต่อต้านข่าวกรอง ส่วนอีกคน มียศจ่า ไม่ทราบสังกัด อีกทั้งยังมีข้อมูลด้วยว่า ผู้ก่อเหตุเคยเมาแล้วทะเลาะวิวาทลักษณะนี้มาก่อน ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เมื่อสอบถามไปยัง ผู้บังคับบัญชาของคู่กรณี เพื่อสอบถามถึงบทลงโทษ ก็ได้รับคำชี้แจงว่า ได้ทำโทษทางวินัยทหารนายดังกล่าวด้วยการกักขังเป็นเวลา 7 วันแล้ว แต่หากผู้เสียหาย ไม่พอใจ ก็จะต้องไปดำเนินคดีฟ้องศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งลงโทษใหม่

ซึ่งตนเองมองว่า การเป็นทหารแต่กลับมาทำร้ายประชาชนเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง อีกทั้งบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บอยู่บริเวณใต้ตา เย็บ 8 เข็ม และยังส่งผลกระทบต่อการมองเห็นถึงปัจจุบัน รวมทั้งมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นเพียง 85-90% ต้องรักษาต่อเนื่อง จึงรู้สึกว่าการแจ้งข้อหา “ทำร้ายร่างกาย” ของพนักงานสอบสวน เป็นโทษที่เบาเกินไป และอยากให้แจ้งข้อหา “ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส” มากกว่า และ เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

 

ทั้งนี้ผู้เสียหาย ยังยอมรับอีกว่า หลังเกิดเหตุไม่กล้าไปนั่งกินสุกี้ที่ร้านอีกแล้ว มีความกังวล กลัวจะถูกทำร้ายอีก

ด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า ได้สอบถามไปยัง พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 8 จนทราบว่า พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำ และโทรสอบถาม นายทหาร รายดังกล่าว เพื่อให้มาลองพูดคุยไกล่เกลี่ย ตาม พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 2526 แต่นายทหารดังกล่าว กลับพูดจาไม่ดี 

 

ตำรวจ ฝ่ายสืบสวน จึงเห็นว่า คงไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ และได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 1 ไปแล้ว ให้เข้ามารับทราบข้อหาภายใน 15 วัน ซึ่งครบกำหนดในวันนี้ และหากเจ้าตัวไม่มา ก็จะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป