svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ตำรวจแจงคดี "ทุนมินลัต" ดำเนินการตรงไปตรงมา ไม่มี "บิ๊ก" แทรกแซง

ผบก.ปส.3 ชี้แจงคดี "ทุนมินลัต" ยืนยันดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีบุคคลใดกดดันการสอบสวน ย้ำคดีไม่ลล่าช้า แต่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม

12 มีนาคม 2566 พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 บช.ปส. กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีกับเครือข่าย "ทุนมินลัต" ตามปรากฏเป็นข่าวที่เกิดขึ้นนั้น 

ข่าวทีเกี่ยวข้อง : 

พล.ต.ต.คมสิทธิ์ กล่าวว่า การดำเนินคดีกับ เครือข่าย "ทุนมินลัต" เริ่มจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สว.กก.2 บก.สส.บช.น. โดยสำนวนแรก เป็นคดีระหว่าง พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ผู้กล่าวหา กับ นายทุนมินลัต กับพวกรวม 10 คน ผู้กล่าวหามีการดำเนินการยื่นคำร้อง ขอออกหมายจับผู้ต้องหา รวม 6 ราย ในฐานะเจ้าพนักงาน

ผู้มีอำนาจสืบสวน (ชั้นการสืบสวนความผิดก่อนร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน) และต่อมา ผู้กล่าวหาได้มีการจับกุมตัวผู้ต้องหา รวม 4 ราย ก่อนจะส่งให้ บช.ปส.ดำเนินคดี (หลบหนี 2 ราย) และผู้กล่าวหามีการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ นายอุปกิตฯ เพิ่มเติม 1 ราย รวมเป็น 7 ราย
พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 บช.ปส.  
 

ต่อมา อสส.ได้พิจารณาสำนวนที่ 1 เห็นว่า “คดีนี้เป็นความผิดตามกฎหมายไทยที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักร จึงอยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุด” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 และได้มีคำสั่งมอบหมายให้ ผบก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และมอบหมายให้พนักงานสอบสวน บก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการ

โดยสำนวนแรกพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ได้มีสอบสวนร่วมกัน และมีความเห็นว่า พฤติการณ์ผู้ต้องหาในคดีเข้าข่ายเป็น “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 เห็นควรให้แจ้งข้อหาในความผิดตามกฎหมายดังกล่าวที่พบเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง

จากนั้น คณะพนักงานสอบสวน และ คณะพนักงานอัยการสำนวนที่ 1 ได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 9 ราย เนื่องจาก ผู้ต้องหาจำนวน 4 ราย มีการควบคุมตัวผู้ต้องหา ใกล้ครบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับกรณี นายอุปกิตฯ ที่ร้องทุกข์เพิ่มเติมในภายหลัง ได้มีการแยกดำเนินคดีเป็นอีกสำนวน   
เอกสารชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีกับเครือข่าย "ทุนมินลัต" ที่เผยแพร่ในโซเชียล
 

ส่วนสำนวนที่สอง เป็นการกล่าวหา นายอุปกิตฯ เป็นผู้ต้องหา ที่เพิมเติมในภายหลัง ในชั้นการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน ที่ได้มีการแยกดำเนินคดีเป็นอีกสำนวน ซึ่ง อสส.ได้พิจารณาสำนวนที่ 2 เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 66 ยังคงเห็นว่า คดีส่วนนี้เป็นความผิดตามกฎหมายไทย ที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักร เช่นเดียวกันกับสำนวนที่ 1 จึงอยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20

จึงมอบหมายให้ ผบก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และมอบหมายให้พนักงานสอบสวน บก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ร่วมกับพนักงานอัยการสำนักงานสอบสวน รวม 7 ท่าน ซึ่งมี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นหัวหน้าคณะพนักงานอัยการ เข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานอัยการก็ได้ร่วมกัน สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด อย่างรวดเร็ว 
ตำรวจแจงคดี "ทุนมินลัต" ดำเนินการตรงไปตรงมา ไม่มี "บิ๊ก" แทรกแซง  

โดยมีประเด็นที่เป็นข้อสงสัย ที่ปรากฏในสื่อสาธารณะหลายสื่อ มีเนื้อหาระบุว่า “ศาลได้ให้พนักงานสอบสวนไปออกหมายเรียกเนื่องจาก นายอุปกิตฯ เป็น ส.ว.ภายใน 15 วัน แล้วเหตุใดพนักงานสอบสวนไม่ออกหมายเรียกตามที่ศาลสั่งการ”

ประเด็นดังกล่าว คณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานอัยการ ได้พิจารณาร่วมกันตลอด เห็นว่า พยานหลักฐานในสำนวนหลายประการ ยังไม่มีความสมบูรณ์ เนื่องจากมีเอกสารที่ไม่ใช่ภาษาไทย จำนวนมากประมาณกว่า 1,000 แผ่น จะต้องจัดแปลให้เป็นภาษาไทย เพื่อที่จะพิสูจน์ความผิดได้ ซึ่งมีรายละเอียดพยานหลักฐานที่สำคัญมาก

ประกอบกับ อัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งการให้สอบสวนเพิ่มเติม ในสำนวนที่ 1 ซึ่งมีรายละเอียดพยานหลักฐาน เกี่ยวพันกับผู้ต้องหาใน สำนวนที่ 2 ด้วย รวม 4 ประเด็น ซึ่งคณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานอัยการ ได้ดำเนินการไปแล้วหลายประเด็นคงเหลือ ประเด็นที่สำคัญที่ต้องใช้ระยะเวลา ในการดำเนินการ อาทิ การสั่งให้สอบสวนเกี่ยวกับการซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่าย ค่าไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2551 - ปัจจุบัน

การตรวจสอบบัญชีเงินฝาก และเส้นทางการเงินของบัญชีที่เกี่ยวข้อง ประมาณกว่า 500 บัญชีที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าไฟฟ้า และพิจารณาว่า มีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องเชื่อมโยง กับขบวนการเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มนี้หรือไม่ อย่างไร รวมทั้ง การตรวจสอบกรรมการผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นผู้แทนนิติบุคคลในต่างประเทศ เพื่อใช้ในการแจ้งข้อเท็จจริง และแจ้งข้อหากับนิติบุคคลต่างประเทศ ภายในกำหนดอายุความ 

ซึ่งในชั้นนี้ รายละเอียดในสำนวนไม่อาจเปิดเผยได้หมด เนื่องจาก พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 การเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ในสำนวนอาจเป็นความผิดตาม มาตรา 26 ได้ จึงขอชี้แจงความคืบหน้าเพื่อให้สื่อสาธารณะทราบว่า   

1.อำนาจในการสอบสวนคดีนี้ มาตรา 20 ป.วิอาญา กฎหมายบัญญัติให้พนักงานอัยการ มีอำนาจและหน้าที่ในการสอบสวน เช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน บรรดาอำนาจและหน้าที่ประการอื่น ที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นอำนาจ และหน้าที่ของพนักงานอัยการ และให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติตามคำสั่ง และคำแนะนำของพนักงานอัยการ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการรวบรวมพยานหลักฐาน การดำเนินคดีในที่ประชุมจึงเป็นการดำเนินการโดยการเห็นชอบร่วมกันทั้งสิ้น 

2.การสอบสวนในคดีอาญา กฎหมายบัญญัติไว้ใน มาตรา 131 ป.วิอาญา ว่า การสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด เท่าที่สามารถจะทำได้ ประสงค์จะทราบข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และเพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิด และพิสูจน์ให้เห็นความผิด หรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา

โดยมติที่ประชุมเห็นร่วมกันว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และต้องพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนทุกอย่างให้เสร็จสิ้น และต้องรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิด โดยจะต้องไม่มีประเด็นสงสัย และต้องชี้แจงต่อสาธารณะชนได้ และคดีไม่ถือว่าล่าช้า แต่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อเป็นประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรม และพิจารณาสั่งคดีของอัยการสูงสุด เนื่องจากเป็น คดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดแต่ผู้เดียว 

3.ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความผิดที่ถูกกล่าวหาตาม มาตรา 8 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 ต้องระวางโทษเป็นสองเท่า ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิด และตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 180 บัญญัติไว้ต้องระวางโทษเป็นสามเท่า ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ต่ออัยการสูงสุด และ บช.ปส. ซึ่งคณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานอัยการ ได้รับทราบแล้ว จึงต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป ด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่องและเป็นธรรมตามกฎหมาย และต้องรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิด ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด 

ท้ายนี้ ในนามของคณะทำงานร่วมกัน ผบก.ปส.3 ยังได้ยืนยันว่า ในการดำเนินคดีดังกล่าว ทั้งคณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานอัยการ ไม่มีบุคคลใด ทั้งฝ่ายผู้กล่าวหา และฝ่ายผู้ต้องหา หรือผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่าย ทั้งตำรวจและพนักงานอัยการ เข้ามากดดันการสอบสวน หรือสั่งการในการสอบสวนเพื่อช่วยเหลือบุคคลใดๆทั้งสิ้น

และผู้รับผิดชอบ จะต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ และที่สำคัญ มาตรา 9 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 คณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานอัยการ จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ หากเข้าไปช่วยเหลือผู้กระทำผิด หรือกลั่นแกล้งผู้กระทำความผิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ จะต้องระวางโทษเป็นสามเท่า ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ตำรวจแจงคดี "ทุนมินลัต" ดำเนินการตรงไปตรงมา ไม่มี "บิ๊ก" แทรกแซง