svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ผัวเมีย บ.โลจิสติกส์ ดอดพบตำรวจเคลียร์ปม "สาวหล่อ" ยัน รักและให้เกียรติ

12 พฤศจิกายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สามีภรรยาเจ้าของโลจิสติกส์ ดอดให้ปากคำ ตร.ปคม. เล่าความจริงอีกด้าน ยัน ไม่ได้บังคับ “สาวหล่อ” เป็นเมียใช้หนี้ เจ้าตัวยอมตกลงเอง แลกไม่ถูกยึดรถ ตร.ไม่ปักใจเชื่อ ตั้งคณะทำงานพิสูจน์ข้อเท็จจริง

จากกรณีทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พา น.ส.เอ๋ (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี สาวหล่อ เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับทางกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) หลังถูก นายเจ (นามสมมุติ) และ นางจี (นามสมมุติ) สองสามีภรรยา เจ้าของบริษัทโลจิสติกส์ชื่อดังแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ชลบุรี ที่เป็นนายจ้างบังคับข่มขืนและให้อยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาพร้อมกัน 3 คน เพื่อแลกกับการชดใช้หนี้ หากไม่ทำตามจะถูกฟ้องร้องเรียกเงิน 10 ล้านบาท ก่อนจะมีการเชิญตัวสองสามีภรรยาผู้กล่าวหามาเข้าให้ปากคำชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 


12 พฤศจิกายน 2565 ล่าสุดมีรายงานว่า หลังจากทางพนักงานสอบสวน บก.ปคม. ติดต่อไปหาสองสามีภรรยาดังกล่าว ทั้งคู่ได้ตอบรับให้ความร่วมมือในทันที ก่อนเดินทางมายังกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เมื่อช่วงเย็นวานที่ผ่านมา (11 พฤศจิกยน 2565) เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมกับให้ถ้อยคำชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงถึงเรื่องที่ถูกกล่าวหา
ผัวเมีย บ.โลจิสติกส์ ดอดพบตำรวจเคลียร์ปม "สาวหล่อ" ยัน รักและให้เกียรติ

นายเจ ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการบังคับ น.ส.เอ๋ ผู้เสียหาย แต่เป็นเรื่องของการสมยอม ซึ่งเรื่องหมดเริ่มขึ้นจาก น.ส.เอ๋ ที่เป็นสาวหล่อ ได้มาแอบคบหาเชิงชู้สาวกับภรรยาของตน ทำเข่นนี้มาตลอดเป็นระยะเวลากว่า 5-6 ปี จนทำให้ครอบครัวเกิดปัญหาหนัก จนถึงขั้นเคยจดทะเบียนหย่าร้างแล้วหนีไปใช้ชีวิตร่วมกันสองคน แต่สุดท้ายก็ไปกันไม่รอด ก่อนจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นครอบครัวกับตนเหมือนเดิม แต่หลังจากกลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้วนั้น ปรากฎว่า น.ส.เอ๋ ยังคงแอบติดต่อหาภรรยาของตนเช่นเดิม จึงเรียกมาพูดคุยเพื่อขอให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวแต่ก็ไม่เป็นผล

เวลาที่ น.ส.เอ๋ ติดต่อมาหาภรรยาของผม ก็มักทำทีเล่าปัญหาชีวิตเดือดร้อนเรื่องเงินให้ฟัง เพื่อขอหยิบยืมเงิน จนภรรยาของผมที่ยังคงมีความผูกพันและห่วงหา โอนเงินให้เรื่อยมารวมเป็นเงิน กว่า 5 แสนบาท เมื่อรู้เรื่องว่ามีการโอนเงินกัน จึงเรียกมาพูดคุยเพื่อขอให้คืนเงิน แต่ น.ส.เอ๋ อ้างว่าไม่มีเงินคืนให้ จึงยื่นข้อเสนอให้เอารถยนต์มาวางค้ำประกันหนี้ หรือไม่ก็ย้ายมาอยู่ร่วมกัน 3 คน ผัวเมีย เพราะมองว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปครอบครัวคงต้องแตกร้าวอีกรอบ ก่อนที่ น.ส.เอ๋ จะตัดสินใจเลือกมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับผมและภรรยา 3 คนผัวเมีย เพื่อที่จะเก็บรถยนต์ส่วนตัวไว้ รวมถึงยังขอให้ทำหนังสือสัญญาข้อตกลงขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้มาฟ้องร้องในภายหลัง จึงอยากชี้แจงในส่วนนี้ด้วยว่าไม่มีการบังคับแต่อย่างใด

"ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน 3 คนผัวเมีย ยืนยันว่า ให้ความรักและให้เกียรติ น.ส.เอ๋ เหมือนเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง พาไปเที่ยวต่างประเทศ ดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ใช้ชีวิตเหมือนผัวเมียทั่วไป และมีแพลนจะปลูกบ้านให้ รวมถึงวางรากฐานอาชีพหาธุรกิจให้ทำ ที่ผ่านมาก็ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข กระทั่งระยะหลัง น.ส.เอ๋ เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป พยายามตีตัวออกห่าง ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด"

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า อย่างไรก็ตามจากคำให้การดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อ เนื่องจากยังมีบางประเด็นที่ขัดแย้งกับคำให้การของฝั่งผู้เสียหาย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับหนังสือสัญญา ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝั่งเป็นคนจัดทำขึ้น และ มีอีกหลายประเด็นที่ต้องพิสูจน์ทราบให้แน่ชัด ว่าสุดท้ายแล้วข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ซึ่งขณะนี้เองทาง พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม. ก็ได้สั่งให้มีการตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

logoline