จากกรณีทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พา น.ส.เอ๋ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สาวหล่อผู้เสียหาย ยื่นร้องขอความเป็นธรรมกับ ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ถูกคู่สามีภรรยาเจ้าของบริษัทโลจิสติกส์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นนายจ้างบังคับข่มขืน และให้อยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาพร้อมกันทั้ง 3 คน เพื่อแลกกับการชดใช้หนี้ หากไม่ทำตามจะถูกฟ้องร้องเรียกเงินถึง 10 ล้านบาท
ต่อมา นายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์ ทนายความของสองสามีภรรยา ที่ถูกสาวหล่อเข้าแจ้งความดำเนินคดี แถลงโต้ว่า อ้างฝ่ายสาวหล่อเป็นคนร่างสัญญา พร้อมยืนยันทั้ง 3 คน อยู่ในความสัมพันธ์ที่ยินยอมทุกฝ่าย ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้ว นั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ทนายเสี่ยโลจิสติกส์ งัดหลักฐานโต้ "สาวหล่อ" หนังคนละม้วน ยัน สมัครใจทุกฝ่าย
เปิดสัญญาสวาท เหยื่อ-เจ้าของบริษัทโลจิสติกส์
10 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสัญญาที่กำลังเป็นประเด็น มีการจัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 เป็นข้อตกลงร่วมกัน ทั้งหมด 5 ข้อ เนื้อหาระบุว่า ข้อตกลงฉบับนี้เขียนขึ้นร่วมกันระหว่าง 3 ฝ่าย ก็มีการระบุชื่อไว้ทั้ง 3 คน โดยมีข้อตกลงร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย ที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน ในฐานะสามี ภรรยา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันในด้านพฤตินัย
ข้อ 1-3 ข้อตกลงร่วมกันฉบับนี้เกิดขึ้นด้วยความยืนยอมพร้อมใจของทั้ง 3 ฝ่าย โดยจะให้ความรัก การดูแลฉันสามีภรรยา ทรัพย์สินใด ๆ ที่ให้ระหว่างอยู่ด้วยกัน ถือว่าเป็นการให้โดยเสน่หาของทั้ง 3 ฝ่าย ไม่ต้องการเรียกร้องกลับคืน
ข้อ 4 ระบุว่า ในอนาคตถ้าเกิดจะต้องแยกทางกัน จะต้องยินยอมพร้อมใจทั้ง 3 ฝ่าย
ข้อ 5 ถูกเขียนด้วยปากกา ระบุว่า ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือทำร้ายร่างกาย และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ฝ่ายที่เสื่อมเสียมีสิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท และถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลง จะถือว่าข้อตกลงนี้เป็นโมฆะ
เปิดคลิปสนทนา สาวหล่อ-เจ้าของบริษัทโลจิสติกส์
ยังมีหลักฐานเพิ่มเติม เป็นคลิปเสียงที่สาวทอม ได้พูดคุยกับเสี่ยเจ้าของบริษัทโลจิสติกส์ ในทำนองไม่ยินยอมอยู่ในความสัมพันธ์ 3 ผัวเมีย แต่กลับถูกข้ออ้างเรื่องหากผิดสัญญา จะต้องจ่าย 10 ล้านบาท
ชมคลิป
สาวหล่อ ยัน ไม่ได้ร่างสัญญา ทำเพราะจำยอม หลังถูกข่มขู่
น.ส.เอ๋ ผู้เสียหาย เล่าว่า หลังจากเป็นข่าว ฝั่งคู่กรณีก็ไม่ได้ติดต่อมาเจรจา ถ้าติดต่อมา ทนายไพศาล เป็นฝ่ายเจรจาดูแลเรื่องคดี เพราะวันนี้ได้ให้ทนายไพศาลมาเป็นคนเดินเรื่องคดีความแล้ว
พร้อมบอกด้วยว่า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน 3 คน เขาเลี้ยงดูเหมือนเป็นภรรยาคนหนึ่ง แต่ตนเองฝืนใจทำ ไม่ได้ยินยอม แต่ก็ต้องไปตามน้ำ ส่วนกรณีที่มีการไปเที่ยวด้วยกัน เขาก็ชวนปกติ ไม่ได้ข่มขู่ เราก็ทำปกติไปตามน้ำด้วยความจำนน
ถาม : เรื่องสัญญาทางคู่กรณี เขาอ้างว่าสาวหล่อเป็นคนร่าง?
ตอบ : เรามีหนี้อยู่แล้ว 5 แสน เราจะผูกมัดตัวเองด้วยการเป็นหนี้อีก 10 ล้าน ไปทำไม ซึ่งยืนยันได้ว่า ไม่ได้เป็นคนร่างสัญญาให้เขาเซ็น
ถาม : ที่ออกมาร้องเรียนต้องการอะไร?
ตอบ : ต้องการให้ปล่อยกันไป แค่ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิต ปล่อยกันไป ส่วนความสัมพันธ์กับภรรยาเจ้าของบริษัท ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเพราะอยู่ในรูปคดี ทั้งนี้ที่คู่กรณีอ้างว่า ให้ตนเองเลิกกับภรรยา แต่ตนเองไม่เลิก ไม่ใช่ความจริง เรื่องที่จะเลิกกับฝ่ายหญิง มีการพูดคุยกันตกลงกันไปแล้ว ยืนยันว่า ทุกอย่างทำไปเพราะความจำยอม และมีการข่มขู่คุกคามไปตามที่บ้าน ที่พัก และช่องทางแชทไปหาเพื่อน ทำทุกอย่างเพื่อให้เราเสียหาย
ถาม : หากคู่กรณีอ้างว่าทำไปเพราะความรัก มองยังไง?
ตอบ : ตนเองชัดเจนว่าเป็นแบบนี้ ไม่ได้ชอบผู้ชาย เราชอบผู้หญิงมาตลอด และไม่เคยแสดงออกว่ามีความรักหรือความรู้สึกดี ๆ ต่อเขา เราชัดเจนมาตลอด ส่วนความรู้สึกต่อฝ่ายหญิงตอนนี้ก็เป็นแค่ความจำยอม
ฟังเสียงผู้เสียหาย
ทนายไพศาล ยัน ดำเนินคดี ย้ำ สัญญาถือเป็นโมฆะ
ทนายไพศาล เปิดเผยว่า เบื้องต้นก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อหา "ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น" และได้หารือกับตำรวจ ปคม.จะต่องมีการสอบสวนด้วยว่า เข้าข่ายความผิดฐานค้ามนุษย์ด้วยหรือไม่ เพราะคู่กรณีเป็นนายจ้างเดิม สัญญานี้เป็นลักษณะคล้าย ๆ สัญญาทาสที่มีการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ
ส่วนคำกล่าวอ้างของคู่กรณี ที่บอกว่าฝ่ายสาวหล่อให้ทำสัญญา อยากให้มองว่า ถ้าในข้อสัญญาระบุว่า มีการเลี้ยงดู ไม่ดำเนินคดี และจะให้ทรัพย์ใดนั้น เป็นประโยชน์ต่อน้องผู้เสียหาย ดังนั้นในเมื่อสัญญาดี ทำไมผู้เสียหายถึงออกมา ก็เพราะหมายความว่า น้องไม่ได้สมัครใจยินยอม และน้องเป็นหนี้อยู่แค่ 5 แสน และทำไมน้องจะต้องไปร่างสัญญาผูกมัดตัวเองถึง 10 ล้าน
กรณีที่มีภาพถ่ายไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ทนายไพศาลย้ำว่า มันคือภาวะจำยอม คือการไหลตามน้ำ เพราะถ้าไม่ทำ ก็ไม่ได้เพราะเซ็นสัญญาไปแล้ว และน้องเขาไม่รู้กฎหมาย ดังนั้นจึงจะต้องไปว่ากันในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่า สัญญาฉบับดังกล่าวเป็นโมฆะอยู่แล้ว และนี่ยิ่งเป็นโมฆะซ้อนโมฆะ เพราะเขาไม่รู้กฎหมายที่ไปเขียนข้อสุดท้ายไว้ในสัญญา ส่วนข้อต่อสู้อื่น ๆ ก็ไปต่อสู้กันในชั้นศาลตามกระบวนการกฎหมาย