
กระทั่งถึงวันดวงแตก เมื่อช่วงเช้าวันที่ 7 พ.ย.67 ตำรวจสอบสวนกลาง นำหมายจับศาลอาญา ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน และ ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน เข้าจับกุม "ทนายตั้ม" นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และ นางปทิตตาภรรยาสาว ระหว่างขับรถยนต์ปอร์เช่ รุ่น Cayenne ได้บริเวณแยกอำเภอพนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ก่อนนำตัวกลับมาที่กรุงเทพ เพื่อมาสอบเค้นต่อ
วันต่อมาตำรวจสอบสวนกลางนำตัว "ทนายตั้ม" และภรรยา ไปฝากขังต่อศาลอาญาถนนรัชดา
จากนั้น "ทนายตั้ม" ไม่ขอยื่นปล่อยชั่วคราว แต่ยื่นคำร้องขอปล่อยตัว "เมีย" ชั่วคราว โดยวางเงินประกัน 500,000 บาท และขอติดอุปกรณ์ em แต่ศาลไม่ให้ประกันตัว
เพราะเป็นคดีที่อัตราโทษสูง และมูลค่าความเสียหายสูง ถ้าหากออกจากคุกไป อาจจะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้ ก่อนนำตัวทั้งคู่เข้าฝากขังเรือนจำ
ตำรวจสอบสวนขยายคดีการโกงเงินเพิ่ม แตกยอดจาก คดีโกงเงิน 71 ล้านบาท
คดีที่ 1 ฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท จ้างทำแพลทฟอร์มหวยออนไลน์ แต่ไม่ได้งาน และไม่ได้เงินคืน
คดีที่ 2 "ทนายตั้ม" อ้างกับ "เจ๊อ้อย" ว่า ทำธุรกรรมโอนเงินจ้าง "เฉินคุน" ดารานักแสดงจากประเทศจีนมาแสดงที่ประเทศไทยให้ "เจ๊อ้อย" จนทำให้กระเป๋าเงินดิจิตอลของพรรคพวกถูกระงับบัญชี และยังโดนดูดเงินไป "เจ๊อ้อย" หลงเชื่อ จึงโอนเงินชดใช้ให้ 39 ล้านบาท
ต่อมาตำรวจ ตรวจสอบพบว่า "นุ" นายนุวัฒน์ ยงยุทธ คนสนิททนายตั้ม และ "สา" น.ส.สารินี นุชนารถ แฟนสาวนายนุ ไปเบิกเงิน 39 ล้านบาท ที่ธนาคารภายในห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าว โดยมี "เดือน" น.ส.ปิณฑิรา อายุ 43 ปี พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ร่วมอยู่ด้วย รวมทั้งเป็นผู้นำเงินไปเก็บไว้ที่บ้านทนายตั้มย่านพุทธมณฑลด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นผู้รู้เรื่องการขนย้ายเงินต่างๆ อีกด้วย และตำรวจดำเนินการจับกุมทั้ง 3 ราย
คดีที่ 3 "เจ๊อ้อย" ให้เงินไป 13 ล้านบาท กับ "ทนายตั้ม" เพื่อวานเป็นธุระซื้อรถเบนซ์ รุ่น G-400 d เอาใช้ใช้งานยามกลับมาประเทศไทย แต่ไปๆมาๆไม่ได้รถเสียที่ เงินก็จ่ายแล้ว แต่ทำไมรถยังไม่ได้ละ
จน "เจ๊อ้อย" ต้องให้ทนายความส่วนตัวไปทวงเอารถคืนมา แถมยังพบรถใหม่ป้ายแดงไมค์วิ่งไปหลายหมื่น กม. กลายเป็นฝางเส้นสุดท้ายที่ "เจ๊อ้อย" แจ้งความดำเนินคดี "ทนายตั้ม" สุดท้ายตำรวจตรวจสอบพบราคาจริงไม่ถึง 13 ล้านบาท แถมทนายตั้มได้ส่วนแบ่งไป 1.5 ล้านอีก
และคดีที่ 4 "เจ๊อ้อย" ว่าจ้าง "ทนายตั้ม" ออกแบบโรงแรมที่โคราช มูลค่ารวม 9 ล้านบาท ทั้งๆที่มูลค่าจริงเพียงแค่ 3.5 ล้านบาทเท่านั้น
นี่เป็นคดีใหญ่ เพราะรวมมูลค่าที่มีการหลอกลวง "เจ๊อ้อย" สูงทะลุหนึ่งร้อยล้านบาท
ต่อมา วันที่ 25 พ.ย. 67 "ทนายสายหยุด" กับมือกับ "ทนายอาคม" อดีตทนายความรุ่นพี่ ที่เคยสนิทกับทนายตั้ม ออกรายการโหนกระแส
โดย "ทนายสายหยุด" ประกาศกลางรายการว่า ยุติบทบาทการเป็นทนายให้ "ทนายตั้ม" เพราะพยานหลักฐานที่ทนายตั้มเตรียมเอาไว้ให้นั้น ล้วนเป็นพยานหลักฐานเท็จ ทำให้รู้สึกเหมือนโดนหลอก
ขณะที่ "ทนายอาคม" เล่าว่าเคยแนะนำ "ทนายตั้ม" ให้คืนเงิน "เจ๊อ้อย" แต่ "ทนายตั้ม" กลับลั่นว่า “คืนก็หมดตูดดิ”
ล่าสุด 7 ธ.ค.67 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ประกาศยึดและอายัดทรัพย์สิน "ทนายตั้ม" กับพวก รวม 71 ล้านบาท ทั้งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและเงินในบัญชี คดี "ฉ้อโกงเจ๊อ้อย"
โดย ปปง.ระบุรายละเอียดว่า คดี "นายษิทรา กับพวก" ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการ "ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ" และ ความผิดฐาน"ฟอกเงิน" โดยมีเหตุที่อันควรเชื่อได้ว่ามีการ โอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีมติให้ "ยึดและอายัดทรัพย์สิน" ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 3 รายการ เป็น "ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวมมูลค่าประมาณ 71 ล้านบาท"
หลังจากนี้เฝ้าติดตามคดี "มหากาพย์ "ทนายตั้ม" โกงเงินลูกความจริงหรือ? จนกว่าจะมีคำพิพากษาตัดสินคดีในท้ายที่สุด