เป็นอีกข้อมูลที่กำลังถูกนำมาขยายผ่านสาธารณะ เมื่อมีการเผยแพร่เอกสารการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดย "นายมีชัย ฤชุพันธ์ุ"ในฐานประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึง "นายสุพจน์ ไข่มุกด์" อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะรองประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขณะนั้นได้ให้ความเห็นต่อ "วาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ" ตามรัฐธรรมนูญ
กรณีดังกล่าว เพิ่มแรงสั่นสะเทือนต่อวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี "8 ปี นายกฯ " ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อีกครั้ง จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 24 สิงหาคมนี้หรือไม่ เนื่องจาก "พรรคเพื่อไทย" เตรียมยื่นประเด็นปัญหาดังกล่าวให้ "ศาลรัฐธรรมนูญ" วินิจฉัยในวันที่ 17 สิงหาคมนี้
สำหรับเอกสารดังกล่าว เป็นเอกสารบันทึกการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ประชุมเมื่อปี 7 ก.ย.61 เป็นการประชุมครั้งที่ 500
ในบันทึกการประชุมสรุปว่า มีการหารือเรื่องการรนับวาระนายกฯ ว่า ถ้าดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญปี 60 บังคับใช้ ต้องนับรวมด้วยหรือไม่ ปรากฏว่า รองประธาน กรธ. โดย"นายสุพจน์ ไข่มุกด์" และ"นายมีชัย ฤชุพันธุ์" ระบุว่า ต้องนับรวม (ตามกราฟฟิค ) และ(เอกสารขีดเส้นสีเขียว )
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าว"เนชั่นทีวีออนไลน์" ได้ตรวจสอบกับอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญรายหนึ่ง ที่มีชื่อในผู้เข้าร่วมประชุมแล้ว ยอมรับว่าเป็นเอกสารจริงมีการประชุมครั้งที่ 500 จริง ส่วนการหารือเรื่องนี้ในปี 61 หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ไปแล้ว เพราะเป็นช่วงจัดทำกฎหมายลูก และจัดทำ "เอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญฯ" หรือที่เรียกว่า "เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ" นั่นเอง
ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องพิรุธที่มีการประชุมเรื่องเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ไปแล้ว
แต่ในเอกสารความมุ่งหมายฯ หรือที่เรียกว่าเจตนารมณ์นั้น ไม่มีข้อความเหมือนในบันทึกการประชุมที่ทำไฮไลท์สีเขียว เพราะในเอกสารความมุ่งหมายฯ หน้า 275 เขียนถึงเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมมนูญ มาตรา 158 เอาไว้แค่นี้เอง...
"นอกจากนี้ ได้กำหนดหลักการใหม่เกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนับระยะเวลา กล่าวคือ การนับระยะเวลาแปดปีนั้น แม้บุคคลดังกล่าวจะมิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันก็ตาม แต่หากรวมระยะเวลาทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบุคคลดังกล่าวแล้วเกินแปดปี ก็ต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีในระหว่างรักษาการภายหลังจากพ้นจากตำแหน่ง จะไม่นับรวมกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว การกำหนดระยะเวลาแปดปีไว้ก็เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไปอันจะเป็นต้นเหตุเกิดวิกฤติทางการเมืองได้"
ข้อส้งเกตในเรื่องนี้ก็คือ...
1.บันทึกการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
2.การแสดงความเห็นในที่ประชุมของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นมติของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ หากบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มีน้ำหนักในแง่ของการเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในมาตรา 158 เพราะผู้แสดงความเห็นก็เป็นประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เป็นมือกฎหมายชั้นเซียน และอีกราย (นายสุพจน์) เคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาก่อน
หากเป็นเช่นนั้นก็จะเท่ากับวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯประยุทธ์ จะครบในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ แต่คนที่วินิจฉัยเรื่องนี้ในขั้นตอนสุดท้ายคือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝ่ายค้านจะยื่นคำร้องในวันที่ 17 ส.ค.65
จากการพูดคุยกับกรรมการร่างรัฐธรรมนูญท่านหนึ่ง ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ข้อความที่ไฮไลท์สีเขียวเป็นแค่บันทึกการประชุมที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูด แต่ไม่ได้นำมาเป็นประเด็นในการลงมติว่าเป็นความมุ่งหมายฯ หรือเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อเทียบกับเอกสารบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 ฉบับเดียวกัน ในส่วนของบทสรุปและมติของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จะพบว่าในมติ ไม่มีประเด็นตามความเห็นของ อ.มีชัย และ นายสุพจน์ (เอกสาร 5-6 และ 7)
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมจากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญท่านนี้ว่า การพิจารณาวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญ มักจะไม่นำความคิดเห็นที่เสนอหรือถกเถียงกันในที่ประชุมมาใช้ประกอบการพิจารณา และหลายๆ ครั้งศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ยึดเอาบันทึกการประชุม เจตนารมณ์ หรือความมุ่งหมายฯ มาใช้ในการพิจารณาเลยด้วยซ้ำ หากเนื้อหาตามสารบัญญัติชัดเจนอยู่แล้ว
แต่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญท่านนี้ และที่ปรึกษา กรธ.ที่ไม่ได้เข้าประชุม บอกตรงกันว่า เมื่อมีเอกสารนี้เผยแพร่สู่สาธารณะ"พล.อ.ประยุทธ์" ย่อมเหนื่อยยิ่งขึ้น และศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยยากขึ้น หากจะฟันธงว่า วาระการดำรงตำแหน่งนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ครบ 8 ปี
ล่าสุด "นายสุพจน์ ไข่มุกด์" อดีตรองประธานกรรมการร่างรธน.เปิดเผยผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย ดำเนินรายการโดยดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ถึงประเด็นบันทึกรายงานการประชุม ที่มีการแสดงความเห็น วาระดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ในครั้งนั้นว่า ข่าวที่ออกเป็นบันทึกประชุม ความเห็นของตนเองและนายมีชัย ฤชุพันธ์ เเต่ไม่มีมติกรธ. บันทึกฉบับเต็มเปิดเผยหาได้ตามห้องสมุด
"ครั้งนั้นเป็นการแสดงความเห็นในมุมมองของผม อย่างไรก็ตามอายุแปดปีนายก นับเเต่ รธน.2560 ประกาศใช้ เเต่สุดท้ายรอศาลรธน.วินิจฉัย"
ขณะที่ "ดร.เจษฎ์ โทณวณิก" คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ.ชุดนายมีชัย เปิดเผยว่า การประชุมครั้งที่ 500 ตามที่มีเอกสารเผยแพร่ทางสื่อ ตนเองไม่ได้เข้าประชุม จึงไม่ทราบรายละเอียด แต่เมื่ออ่านแล้วก็เห็นว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของทั้ง 2 ท่าน คือ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และ อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ โดยความเห็นนี้ไม่ได้ถูกสรุปเป็นมติของ กรธ. และไม่ได้ถูกนำไปบรรจุในเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญฯ
"ฉะนั้นข้อความที่มีการนำเสนอผ่านสื่อ จึงเป็นความเห็นส่วนตัวของทั้งสองท่าน ไม่ใช่มติของ กรธ. เช่นเดียวกับผมที่มีความเห็นส่วนตัวในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ผู้ที่จะชี้ขาดคือศาลรัฐธรรมนูญ หากมีผู้ยื่นคำร้องเข้าไป ศาลก็จะวินิจฉัยและชี้ขาดประเด็นข้อกฎหมายทั้งหมด" "ดร.เจษฎ์ โทณวณิก" กล่าว
ด้าน นายอุดม รัฐอมฤต อดีตโฆษก กรธ. กล่าวด้วยว่า เอกสารที่ออกมา ยังไม่ใช่ข้อสรุป เพราะบันทึกการประชุมนั้นมีหลายแบบ เช่น บันทึกโดยยังไม่ได้มีการเรียบเรียง บันทึกแบบชวเลข โดยจะมีการส่งบันทึกให้กับคณะกรรมการทุกคน ดังนั้น เอกสารที่ออกมามองว่าเป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของ กรธ. แต่ละคนเท่านั้น