svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

สาวร้องถูกฤๅษีตนแรกของไทยหลอกเอาเงินเอาทองจนหมดตัว

07 กรกฎาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สาวร้องถูกฤๅษีหญิงตนแรกของไทยหลอกเอาเงินเอาทองไปจนหมดตัว ตามทวงคืน 3 ปีไม่มีวี่แววจะได้คืนบ่ายเบี่ยงสารพัดข้ออ้าง สุดท้ายน้องชายของฤๅษีเป็นอดีต สท.ท้าทายให้แจ้งความ ผู้เสียหายเล่าทั้งน้ำตา ครอบครัวต้องเดือดร้อนเงินสร้างบ้านให้พ่อแม่ต้องมาถูกโกงจนหมดตัว

7 กรกฎาคม 2565 ที่บ้านเลขที่ 169 บ้านผือ ม.4 ต.ดอนหัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น นางสาวกนกพร เข่งหุ่ง อายุ 29 ปี นำเอกสารที่เตรียมใช้เป็นหลักฐานในการที่จะเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาแสดงให้สื่อสื่อมวลชนดู ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับสลิปการโอนเงิน ซึ่งนางสาวกนกพร โอนเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย และเอกสารการแชทข้อความผ่านไลน์ระหว่างนาวงสาวกนกพรกับหญิงชื่อแม่ผ่อง

                  นางสาวกนกพร เข่งหุ่ง อายุ 29 ปี เปิดเผยถึงการออกมาเผยแพร่ออกเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงชื่อผ่องว่า เนื่องจากช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนั้น เรียนที่จังหวัดมหาสารคาม มีญาติพาไปทำบุญที่สวัดป่าแห้งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้รู้จักกับแม่ผ่อง(นางสาวผ่องศรี ไชยแสนท้าว อายุ 46 ปี) แต่ขณะนั้นไม่ได้ติดต่อกัน กระทั่งเรียนจบ และปลายปี 2562 เป็นช่วงที่พ่อแม่ขายบ้านหลังเดิม และกำลังสร้าง บ้าน จึงโอนเงินที่ขายบ้านได้มาเข้าบัญชีตนเองเอาไว้ใช้จ่ายค่าช่างที่กำลังสร้างบ้านหลังใหม่ส่วนตัวเองหลังเรียนจบ อยากหาที่สงบ ทำสมาธิ เพื่อจะได้มีสติออกหางานทำ จึงเดินทางไปที่ สถานปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี ซึ่งอยู่ในพื้นที่ บ้านโนนทองต.ดอนหว่าน อ.เมือง จ.มหาสารคาม จึงได้พบกับแม่ผ่อง ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักปฏิบัติธรรมดังกล่าวและปฏิบัติตนเป็นฤๅษี มีลูกศิษย์จำนวนมาก ซึ่งต่างก็เรียกแม่ผ่องว่า แม่ย่า ย่าฤๅษี ซึ่งมีชื่อเต็มว่า ฤๅษี ดร.ภคินี มหามุนีนพเก้า ที่มักจะบอกกับลูกศิษย์ว่า ตนเป็นผู้หญิงที่สละชีวิตเป็นนักบวช ซึ่งก่อนที่จะประสบช่วงโควิดระบาดนั้น จะมีลูกศิษย์ทั้งชาวไทยและต่างชาติมาหาฤๅษีจำนวนมาก เพื่อสักยันต์มงคลต่างๆทั้งยันต์ห้าแถว สาลิกาลิ้นทอง ลงนะหน้าทอง

สาวร้องถูกฤๅษีตนแรกของไทยหลอกเอาเงินเอาทองจนหมดตัว

 

นางสาวกนกพร กล่าวอีกว่า ขณะอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรม ฤๅษีมักจะบอกว่า ตนมีหน้าตาคล้ายกับฤๅษี คงเป็นบุญแต่ชาติปางก่อน จึงทำให้ได้เจอกันได้อยู่ด้วยกัน ฤๅษี จึงรับเป็นลูกรัก และช่วยงานในสำนักปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ช่วงปลายปี ฤๅษีชวนให้ขับรถพาไปทำธุระข้างนอก จึงขับรถให้ และไปจอดริมถนนหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองมหาสารคาม จากนั้นฤๅษีก็คุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ โดยเรียกว่าเจ้านายๆได้ยินเพียงว่าคุยกันเรื่องซื้อขายหอพัก และคุยเรื่องบัญชีกับสรรพากร ประมาณ 1 ชั่วโมง ฤๅษีจึงถามว่า มีเงินในบัญชีมั้ย มีเท่าไหร่ จะยืมหมุนในบัญชีให้สรรพากรดู เพื่อจะเดินเรื่องซื้อขายหอพัก ไม่เกิน 3 วันจะคืนให้ จึงให้ฤๅษียืมเงินครั้งแรกจำนวน 12,000บาท ผ่านไป 3 วัน เงินก็ยังไม่ได้คืน แล้วก็ยังยืมต่ออีก โดยบอกว่า เจ้านายอยู่ต่างประเทศกำลังเดินทางกลับมาคุยเรื่องธุรกิจที่ประเทศไทย เจ้านายมาถึงก็คืนเงินให้ จึงให้ยืมเงินไปอีกหลายครั้ง และบางครั้งบอกว่า เจ้านายมาแล้ว แต่ถูกยึดรถยนต์ ต้องเอาเงินไปประกันเอาตัวเจ้านายออกมาต้องใช้เงินเป็นแสน ก็ให้ยืมอีก 100,000บาท จากนั้นก็มาบอกอีกว่า ต้องหาเงินอีกห้าหมื่นไถ่รถออกมาให้เจ้านาย ก็ให้ยิมไปอีก 50,000บาท แต่ยังไม่ได้รถเพราะเงินไม่พอจ่าย ฤๅษีก็ขอเอาทองที่ตนสวมใส่อยู่ไปขายได้เงินมา54,700 บาท ฤๅษีก็เอาไปทั้งหมด

สาวร้องถูกฤๅษีตนแรกของไทยหลอกเอาเงินเอาทองจนหมดตัว

ซึ่งในปี 2563 ฤๅษียืมเงินไปประมาณ 20 ครั้ง รวมเป็นเงิน 480,000บาท ขายทองอีก 54,700 บาท ฤๅษีคืนเงินมา40,000บาท แล้วยังมาขอยืมคืน แต่ตนไม่ให้ เพราะต้องเอาเงินมาจ่ายค่าช่างสร้างบ้านให้พ่อแม่ อีกทั้งทองก็หมดแล้ว เงินของพ่อแม่ที่เอาไว้สร้างบ้านและเก็บในบัญชีก็หมด ตัวเองก็ไม่สบาย ต้องนอนในรพ. และปลายปี 2563 จึงตัดสินใจออกจากสำนักปฏิบัติธรรมของฤๅษี โดยก่อนออกมาได้คุยเรื่องเงินที่ฤๅษีในเรื่องเงินที่ยืมไป ซึ่งเมื่อหักลบกันแล้วเหลือเงินที่ฤๅษียังค้างอยู่จำนวน 370,000บาท บวกกับที่เอาทองไปขายอีก 54,700 บาท ซึ่งฤๅษีก็รับปากว่าจะใช้คืนให้ทั้งหมด 

สาวร้องถูกฤๅษีตนแรกของไทยหลอกเอาเงินเอาทองจนหมดตัว

 

สาวร้องถูกฤๅษีตนแรกของไทยหลอกเอาเงินเอาทองจนหมดตัว

สาวร้องถูกฤๅษีตนแรกของไทยหลอกเอาเงินเอาทองจนหมดตัว

            จากนั้นตัวเองก็กลับมาบอกความจริงกับพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่ก็บอกว่า จะปรึกษาญาติที่เป็นทนายความ และรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อนำเป็นหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.เมืองมหาสารคาม ให้ทำการเรียกตัวฤๅษีมาพูดคุย และให้นำเงินที่คงค้างมาคืนทั้งหมดนางสาวกนกพร กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมา มีการทวงถามทุกวัน แต่ฤๅษีไม่อ่านไลน์ ไม่ตอบ เมื่อตอบก็จะพูดจาไม่ดี ระยะหลังโยนให้ไปคุยกับน้องชาย ที่เป็นอดีต สท. ซึ่งในครั้งแรกน้องชายไม่ขอรับรู้ ให้ฝ่ายตัวเองกับฤๅษีคุยกันเอง แต่ต่อมาน้องชายฤๅษีพูดจาไม่ดี และว่าให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งเมื่อถูกฝ่ายฤๅษีกดดันและไม่สามารถพูดคุยกันดีดีได้ จึงต้องพึ่งกฎหมาย โดยให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และฝ่ายฤๅษีต้องนำเงินมาคืนให้ครบทุกบาทด้วย

               ข้อมูลพบว่าผู้ถูกกล่าวหาคือ ฤๅษีภคินีมหามุนีนพเก้า เคยออกรายการโทรทัศน์ชื่อดังมาแล้วเมื่อ พ.ค.2556 ที่ผ่านมา โดย แม่ย่าฤๅษีภคินีมหามุนี อายุ 36 ปี เท้าความถึงชีวิตตอนเป็นฆราวาสให้ฟังว่า เดิมตนชื่อ ผ่องศรี ไชยแสนท้าว บ้านของตนเป็นครอบครัวที่ยากจน ตอนเด็กไม่มีอะไรเลย อาหารการกิน หรือเรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ก็ค่อนข้างหายาก โยมแม่ของตนจึงขยันทำงาน เพื่อหาเงินมาส่งตนเรียน ส่วนตนก็ตั้งใจเรียน จนสามารถเรียนจบปริญญาตรี สาขาภาษาอังกฤษ-ธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายก่อนหน้านี้ตอนเป็นนักศึกษา แม่ย่าฤๅษีภคินีมหามุนี บอกว่า เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากจบปริญญาตรี ก็ได้ทำงานอยู่ที่สถาบันสอนภาษา AUA ทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ประสานงานกับชาวต่างชาติ ต่อจากนั้นก็ไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาถึง 10 ปี ซึ่งระหว่างอยู่ที่อเมริกาก็ได้ไปวัดไทย และปฏิบัติธรรมมาโดยตลอดเพราะเหตุใดถึงสละหน้าที่การงานจากสาวออฟฟิศในอเมริกา มาเป็นฤๅษีนั้น แม่ย่าฤๅษีภคินีมหามุนี เล่าว่า หลังจากที่กลับจากอเมริกา ก็มาทำธุรกิจหอพัก 

สาวร้องถูกฤๅษีตนแรกของไทยหลอกเอาเงินเอาทองจนหมดตัว

               จากนั้นตนก็เริ่มเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายทางโลก จนได้เริ่มศึกษาธรรมะ และได้พบกับ หลวงปู่ฤๅษีลิงใหญ่ วัดป่าศรีสุทธาคำมะโฮ จ.กาฬสินธุ์ จึงศรัทธา เนื่องจากท่านมีญาติโยมเยอะ มีเมตตา และสอนธรรมะได้เป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน จึงเกิดความศรัทธา และเข้ารับการบวชเป็น “ฤๅษี” ในที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นฤๅษีหญิงตนแรกในประเทศไทยฤๅษีหญิง กล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุที่ไม่บวชชีนั้น ก็เพราะว่า แม่ชีไม่สามารถบีบนวด รักษาญาติโยม บำบัดโรคได้อย่างฤๅษี ส่วนการถือศีลนั้น ก็ถือเหมือนกันคือ ถือศีล 5 ศีล 8 และศีล 227 ข้อ คุมด้วย 3 ศีล คือ กาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ และฤๅษีนั้น จะเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้ขอ ซึ่งหากพบฤๅษีตนไหนขอเงินญาติโยม ถือว่าเป็นฤๅษีปลอม สำหรับฤๅษีนั้น จะมีวิชาทั้งพุทธเวท-ไสยเวท หรือทั้งสายดำและสายขาว ทั้งการแก้คุณไสย ลงนะหน้าทอง วิชาสาวน้ำตาเทียน สวมมงกุฎนาคา สวมชฎานาคี กล่าวคือเป็นวิชาที่ทำนายชะตาของบุคคลนั้น ๆ โดยจะนำเอาน้ำตาเทียนมาหยดลงในน้ำ จากนั้นก็จะหยิบขึ้นมากลายเป็นรูปพญานาค บางครั้งก็ยาว บ้างครั้งก็สั้น บางครั้งก็ขาด ขึ้นอยู่กับแต่ละดวงชะตาของบุคคล และหากผู้ใดมีชะตาชีวิตที่ไม่ดี ก็จะทำพิธีกรรมต่อชะตา นอนโลง ถวายสังฆทาน เพื่อทำบุญต่ออายุต่อไปนอกจากนี้ ยังมีวิชา กสิณไฟ เป็นวิชาที่ฤๅษีจะพ่นน้ำแล้วกลายเป็นเปลวเพลิง เป็นการเป่ายันต์เกราะเพชรไล่เคราะห์ไล่ทุกข์โศกโรคภัย อีกทั้งยังมีการนวดเท้าไฟ หรือที่เรียกว่าการเหยียบขาง โดยจะนำแผ่นเหล็กไปวางไว้ที่เตาอังโล่ จากนั้นก็ใช้เท้าจุ่มน้ำมัน แล้วเหยียบไปยังเหล็กที่อังไฟ แล้วรีบเอาเท้าเหยียบไปยังจุดที่ญาติโยมป่วย ทั้งอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคกระดูก เป็นต้น แต่บุคคลที่เป็นโรคหัวใจ โรคหอบหืด ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องนอนคว่ำ

 

 

ภาพ/ข่าว: สำนักข่าวเนชั่น ศูนย์ข่าวภาคอีสาน 

logoline