svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"นายกฯ" วอนเลิกทะเลาะกัน เปรียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์ขับเคลื่อน 70 ล้านคน

29 มิถุนายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

นายกฯเปรียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์ ขับเคลื่อนคน 70 ล้านคนไปข้างหน้า​ บอก​จะเป็นจะตายก็ต้องช่วยกันเข็น ส่วนใครจะนำก็ต้องว่ากันไป​  ลั่น​ เราทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว​ ตนไม่ต้องการทะเลาะกับใคร โอด เลิกกันเสียทีไม่เกิดอะไรขึ้น​  โอด​ อยากลดราคาน้ำมันจะตายอยู่แล้ว​

 

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 65   พลเอกประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม​  พร้อมด้วย นายสุพัฒนพงษ์​ พันธ์มีเชาว​์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอกอนุพงษ์เผ่าจินดา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย​ นายชัยวุฒิ​ ธ​นาค​มา​นุสรณ์​  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดงาน FTI  Expo 2022 ภายใต้แนวคิด Shaping Future Industries for Stronger Thailand ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศในมิติต่างๆทั้งด้านเศรษฐกิจ​ สังคม​ และสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดัน Soft Power ของไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์นำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศให้มั่นคง​ มั่งคั่ง​ ยั่งยืน​ 

"นายกฯ" วอนเลิกทะเลาะกัน เปรียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์ขับเคลื่อน 70 ล้านคน

โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้ทักทายพร้อมกับถ่ายรูป​ประชาชนที่มารอต้อนรับอยู่บริเวณด้านหน้าศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่​  ก่อนที่จะเดินเข้ามายังห้องประชุมเพื่อกล่าวเปิดงาน​ โดยได้กล่าวขอโทษแขกที่รออยู่ในงาน เนื่องจากตนนั้นติดอีกภารกิจหนึ่ง​ จึงเดินทางมาช้ากว่ากำหนดการที่วางไว้

นายกรัฐมนตรี​ ยังร่วมกล่าวปาฐกถา​ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้มีโอกาสมาพบกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกำหนดฉากทัศน์ใหม่อุตสาหกรรมของไทยไปสู่อนาคตที่เข้มแข็ง ทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยมีศักยภาพอยู่หลายประการด้วยกันทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม 12 อุตสาหกรรม

 

"นายกฯ" วอนเลิกทะเลาะกัน เปรียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์ขับเคลื่อน 70 ล้านคน

"วันนี้โลกกำลังเผชิญความท้าทายเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะคนความคิดแนวปฏิบัติเทคโนโลยีต่างๆเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดในขณะนี้นี่คือโลกยุคใหม่ ถ้าหากจำได้ผมเคยพูดไว้นานแล้วว่าวันนี้โลกไปสู่ยุคดิจิทัล disruption ที่จะเกิดขึ้นก็มีมากมาย ผมจำได้ตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ วันนี้กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าหลายสาขาส่งผลทำให้การพัฒนานวัตกรรมมีความจำเป็นมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเราทุกคนโดยเฉพาะเรื่องการผลิตของทุกประเทศไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่จะต้องรับมือกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง เรียกได้ว่าเป็นสายลมเบาๆ หากอยู่ไปอีกนานๆก็คงเป็นพายุ นี่คือต้นๆพายุ เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราต้องคุยกันให้เข้าใจทั้ง 2 ซีกทั้งภาครัฐ และสมาคมหอการค้า จะต้องจับมือไปด้วยกันไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ นโยบายของตนที่ผ่านมาพยายามที่จะขับเคลื่อน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ที่จะ เปิดการพบปะพูดคุยเจรจาระดับผู้นำประเทศผ่านสถานทูต เพื่อให้เกิดการเจรจาระหว่างการปลดล็อคหาวิธีการในการที่จะเจอกันให้ได้ซึ่งทุกคนก็คงทราบว่าอะไรปรับได้หรือเปลี่ยนได้" นายกฯ กล่าว  

 

นายกฯ กล่าวว่า   หากเปรียบเทียบภาพที่ว่าเมื่อสักครู่ ก็เปรียบกับรัฐบาล เปรียบเทียบประเทศไทยเป็นรถยนต์คันหนึ่งพาคน 70 ล้านคนไปข้างหน้า จะรถอะไรก็ไม่รู้เป็นรถคันใหญ่ๆคันหนึ่งที่จะขับเคลื่อนคนทุกคนในประเทศไทย ทั้งคนต่างประเทศและคนไทย ที่จะขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าในเวทีโลก ทำให้รถยนต์เครื่องนี้ไม่ติดขัด ทำให้ประชาชนที่อยู่บนรถนั้นสะดวกสบายในการเดินทาง ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวกับเครื่องจักรเครื่องยนต์เทคโนโลยีพลังงานเกี่ยวกับคนในรถ ซึ่งมีความหลากหลาย ต่างอาชีพ​ ต่างวัย ต่างขีดความสามารถ​

 

"นายกฯ" วอนเลิกทะเลาะกัน เปรียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์ขับเคลื่อน 70 ล้านคน

 

แต่จะทำอย่างไรให้รถคันนี้สามารถวิ่งได้ สิ่งแรกที่ทำได้ในขณะนี้คือเตรียมรถให้ดี พาคนขึ้นรถให้ได้ คนขึ้นรถรับแรกคือพวกเราเพื่อจะไปดูว่ารถคันนี้จะไปข้างหน้าไหวหรือไม่ แล้วพร้อมเมื่อไหร่ให้เอาคนขึ้นมา และเอาคนที่ทำรถคันนี้ไปขึ้นรถคันอื่น สร้างรถหลายๆคันออกมา ตนคิดว่าน่าจะต้องคิดแบบนี้

 

เพราะฉะนั้นวิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง โควิด 19 เป็นเรื่องของห่วงโซ่มีผลกระทบทั้งหมด แต่เราต้องย้อนกลับมาดูว่าวันนี้ รัฐบาลได้ทำอะไรไว้แล้วบ้าง หลายอย่างตั้งแต่ช่วงสมัยโควิด 19 เราใช้งบประมาณจำนวนมากในการดูแลเรื่องสุขภาพ หลายคนบอกว่า​ ไม่เห็นได้ประโยชน์กับใครเลย ไม่ได้ทำให้รายได้ดีขึ้นคนละเรื่อง สิ่งสำคัญที่สุดคือสุขภาพ เมื่อสุขภาพดีก็ดำรงชีวิตอยู่ได้ แน่นอนว่าหากประชาชนลำบากนายกรัฐมนตรี​ เจ็บปวดเห็นใจ เห็นได้ว่าอะไรทำได้ตนก็จะทำให้ได้มากที่สุดอย่างระมัดระวัง เพราะอะไรยัง ไม่ใช่ประเทศไทยนึกจะทำอะไรก็ทำได้​

"นายกฯ" วอนเลิกทะเลาะกัน เปรียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์ขับเคลื่อน 70 ล้านคน

ประเทศไทยถือเป็นประเทศสำคัญประเทศหนึ่งในโลกที่หลายประเทศพุ่งเป้าให้ความสำคัญในยังประเทศไทย เป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการลงทุน อยู่อาศัยทำงาน เพราะเราดูแลเขาให้ดีที่สุด แต่คนไทยหลายส่วนอาจจะมีความไม่สบายใจ เข้ามาเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ให้กับประเทศไทย เอาเทคโนโลยีมาใส่เราจนมองว่าคุ้มค่าอย่าห่วง รัฐบาลมีมาตรการที่รัฐคุมอยู่แล้ว 

 

ส่วนราคาพลังงาน​ ค่าขนส่งแพงขึ้น​ ก็น้ำมันมันแพง น้ำมันมาจากที่ไหน​ ซื้อเขามาใช่หรือไม่ น้ำมันทั้งหมดไม่ได้ซื้อตรงประเทศใดประเทศหนึ่ง​ แต่ต้องผ่านกลไกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะของใคร ทั้งตลาดเบนซ์​ ตลาดโอเปค ทั้งหมดมีระเบียบวิเคราะห์บังคับ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีมาตรฐานกลาง ราคาพลังงานสูงขึ้นค่าขนส่งแพงขึ้นต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้น​ มีปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินการการเงินการคลังของต่างประเทศ 

 


นายกฯ กล่าวช่วงหนึ่งว่า "เรื่องน้ำมันติดปัญหาทั้งโลก โธ่ ทำไมจะไม่อยากลด อยากลดจะตายอยู่แล้ว​ พร้อมกันนี้ยังแซวนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพลังงาน เดินไปไหน นั่งไม่ติด ไฟจะไหม้อยู่แล้ว แต่ไม่ไหม้ จุดไม่ติด เพราะน้ำมันน้อย  ส่วนเรื่องราคาน้ำมัน อยากลด พูดจนกางเกงหลวมแล้ว ซึ่งทุกเรื่องจะเกิดมูลค่าได้ ด้วยการสร้างสตอรี่ ไม่ใช่สตรอเบอรี่ สิ่งสำคัญคือความรัก ความสามัคคีของคนไทย ไม่ต้องการทะเลาะกับใครอีกแล้ว 

 

ส่วนค่าเงินบาทอ่อนลง​ ก็มีผลดีต่อการส่งออก ยอมรับว่ามีทั้งผลดีผลเสีย​ แต่ต้องพยายามดูอย่างรัดกุมที่สุด โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง​ แต่สำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไรต้องไม่ทำให้การเงินการคลังของประเทศอ่อนแอลง เป็นหลักยืนยันให้ทุกประเทศในโลกเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเงินการคลังของไทย​ ซึ่งขณะนี้ในระดับ BBB+ แม้ว่าเราจะมีการกู้เงินมาใช้บ้างแต่ก็ยังคงแข็ง แรงอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากจะกู้​ ไม่จำเป็นแล้วใครจะอยากกู้ ตนขอถาม ถ้าไม่กู้แล้วจะเอา GDP มาจากไหน​ เพิ่มรายรับมาจากครัวเรือนได้อย่างไร​ แต่วันนี้ทั้งหมดจะเดินไปด้วยกันใช่หรือไม่ ทั้งรัฐเอกชนธุรกิจและภาคประชาชน ไม่ได้มีเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีขนาดกลางขนาดเล็ก เพราะคือห่วงโซ่เดียวกันตั้งแต่การผลิตการแปรรูป การขนส่งโลจิสติกส์รวมถึงลานจำหน่ายตลาดในประเทศตลาดในพื้นที่ ใช้ประโยชน์จากการเจรจา  ซึ่งวันนี้วันนี้โลกเปลี่ยนเป็น 3 ขั้ว​ แต่คงไม่ต้องกล่าวว่ามีขั้วอะไรบ้าง ยืนยันว่าไทยได้รับการยอมรับจากหลายประเทศในเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19​ และรัฐบาลต้องดูแลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยโดยไม่มีข้อยกเว้น

 

"นายกฯ" วอนเลิกทะเลาะกัน เปรียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์ขับเคลื่อน 70 ล้านคน

 

โดยนายกรัฐมนตรี​ ยังต้องการให้ ดินแดนอาเซียนเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข​ มีเสถียรภาพ​ ไม่มีสงคราม​ เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารของโลก ใครจะเป็นอะไรก็ว่าไปเถอะ​ แต่อย่างไรเราก็ไม่อดตาย เพราะฉะนั้นเราจะต้องดูแลให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแต่ใครจะขัดแย้งก็ว่ากันไป เราต้องรักษาตรงนี้ไม่ให้ได้

 

ช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการผ่อนคลายมาตรการให้สวมใส่หน้ากากอนามัย ที่สาธารณะตามความสมัครใจด้วยระบุว่า  ต้องระมัดระวังตัวเองทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสิทธิส่วนบุคคลหากจะไปออกกฎหมายบังคับอะไรคงไม่ไหว หากไม่อยากเป็นก็ใส่หน้ากากเวลาอยู่ที่คนเยอะๆ เพราะเป็นเรื่องของความสมัครใจ อย่าไปกลัวว่าคนจะบูลลี่ว่าใส่หน้ากากกลัวอะไรนักหนา คนพูดนั้นติดมาเยอะแล้ว คนเยอะก็ระวังเสียหน่อย เปิดประเทศอย่างมียุทธศาสตร์อย่างมีเงื่อนไข​ ไม่ใช่เปิดไปเรื่อย จะทยอยเปิดตามลำดับเมื่อสถานการณ์มีปัญหาก็เบรคซะหน่อย เพราะใครเพราะผมหรอ​ เพราะพวกเราทุกคนที่ช่วยกันเพราะประชาชนทุกคน ช่วยๆกันไม่มีอะไรที่ทำสำเร็จได้ที่คนคนเดียวหรือฝ่ายเดียว หรือหน่วยงานเดียวไม่มีทาง เพราะนี่คือของการทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน​  ไม่ใช่ต่างคนต่างพูด​ แล้วจะฟังใคร ต้องเอามาให้ได้เป็นคำพูดเดียว​ ไม่อยากไปลงในรายละเอียด ทั้งหมดคือแนวทางและการที่รัฐบาลทำมาโดยตลอด ต้องปรับเปลี่ยนปรับแก้ทั้งในสภาและนอกสภาและยังก็ดีขึ้นอะไรที่สามารถทำได้ในเชิงบริหารตนก็ทำให้ทั้งหมด

 

นายกรัฐมนตรียัง​ขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันด้วย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่ารัฐบาลพูดอะไรทำไม่ได้ ก่อนที่จะกล่าวติดตลกว่า พูดสู้ประธานหอการค้าไม่ได้อยู่แล้วพูดไม่ดีก็จะโดนโห่ สิ่งสำคัญคือถ้าร่วมมือร่วมใจร่วมใจกล่าวทุกวัน เศรษฐกิจไทยโดยรวมจะเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้น​ พร้อมกับกล่าวชมคนไทยไม่ด้อยกว่าคนอื่น​ ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้​สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักความสามัคคี​ เสถียรภาพ​ เราทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว​ ไม่ต้องการทะเลาะกับใคร ทำให้ทุกคนทำให้ทุกจังหวัด

 

"ผมลงแผนงานโครงการให้ทุกจังหวัดแม้ว่าจะรักผมหรือไม่ แต่ก็ทำให้เขาเป็นหน้าที่ของผม  เลิกกันเสียทีไม่เกิดอะไรขึ้น จะไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยสิ่งที่ทำมาแต่สูญเปล่าไปเฉยๆ เราต้องการเห็นประชาชนก้าวหน้าประชาชนอยู่ดียินดีแข่งขันกับประเทศอื่นได้เราต้องจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน"  

 

ก่อนที่จะกล่าวย้ำในช่วงท้ายอีกว่า ต้องนั่งรถคันเดียวกันไป​ จะเป็นจะตายก็ต้องช่วยกันเข็น ส่วนใครจะนำก็ต้องว่าไป​ แต่สิ่งที่ทำวันนี้ต้องต่อเนื่อง ถ้าบอกว่าไอ้โน่นก็ไม่ดีไอ้นี่ไม่ใช่ไม่ถูก  นายกฯไม่ได้ว่าใคร ว่าตัวเอง ชอบพูดหาเรื่องแบบนี้แหละ แต่พูดด้วยหัวใจ หัวใจของตนเพื่อประชาชน

 

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาถึง​ คณะผู้จัดงานได้มาแจ้งให้ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดไม่ใส่เนคไท เนื่องจาก นายกรัฐมนตรีอยากให้ผู้เข้าร่วมงานมีลุคเป็น Smart​ nexture​

logoline