เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 65 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอกอนุพงษ์เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดงาน FTI Expo 2022 ภายใต้แนวคิด Shaping Future Industries for Stronger Thailand ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศในมิติต่างๆทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดัน Soft Power ของไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์นำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้ทักทายพร้อมกับถ่ายรูปประชาชนที่มารอต้อนรับอยู่บริเวณด้านหน้าศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนที่จะเดินเข้ามายังห้องประชุมเพื่อกล่าวเปิดงาน โดยได้กล่าวขอโทษแขกที่รออยู่ในงาน เนื่องจากตนนั้นติดอีกภารกิจหนึ่ง จึงเดินทางมาช้ากว่ากำหนดการที่วางไว้
นายกรัฐมนตรี ยังร่วมกล่าวปาฐกถา ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้มีโอกาสมาพบกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกำหนดฉากทัศน์ใหม่อุตสาหกรรมของไทยไปสู่อนาคตที่เข้มแข็ง ทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยมีศักยภาพอยู่หลายประการด้วยกันทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม 12 อุตสาหกรรม
"วันนี้โลกกำลังเผชิญความท้าทายเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะคนความคิดแนวปฏิบัติเทคโนโลยีต่างๆเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดในขณะนี้นี่คือโลกยุคใหม่ ถ้าหากจำได้ผมเคยพูดไว้นานแล้วว่าวันนี้โลกไปสู่ยุคดิจิทัล disruption ที่จะเกิดขึ้นก็มีมากมาย ผมจำได้ตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ วันนี้กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าหลายสาขาส่งผลทำให้การพัฒนานวัตกรรมมีความจำเป็นมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเราทุกคนโดยเฉพาะเรื่องการผลิตของทุกประเทศไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่จะต้องรับมือกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง เรียกได้ว่าเป็นสายลมเบาๆ หากอยู่ไปอีกนานๆก็คงเป็นพายุ นี่คือต้นๆพายุ เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราต้องคุยกันให้เข้าใจทั้ง 2 ซีกทั้งภาครัฐ และสมาคมหอการค้า จะต้องจับมือไปด้วยกันไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ นโยบายของตนที่ผ่านมาพยายามที่จะขับเคลื่อน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ที่จะ เปิดการพบปะพูดคุยเจรจาระดับผู้นำประเทศผ่านสถานทูต เพื่อให้เกิดการเจรจาระหว่างการปลดล็อคหาวิธีการในการที่จะเจอกันให้ได้ซึ่งทุกคนก็คงทราบว่าอะไรปรับได้หรือเปลี่ยนได้" นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบภาพที่ว่าเมื่อสักครู่ ก็เปรียบกับรัฐบาล เปรียบเทียบประเทศไทยเป็นรถยนต์คันหนึ่งพาคน 70 ล้านคนไปข้างหน้า จะรถอะไรก็ไม่รู้เป็นรถคันใหญ่ๆคันหนึ่งที่จะขับเคลื่อนคนทุกคนในประเทศไทย ทั้งคนต่างประเทศและคนไทย ที่จะขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าในเวทีโลก ทำให้รถยนต์เครื่องนี้ไม่ติดขัด ทำให้ประชาชนที่อยู่บนรถนั้นสะดวกสบายในการเดินทาง ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวกับเครื่องจักรเครื่องยนต์เทคโนโลยีพลังงานเกี่ยวกับคนในรถ ซึ่งมีความหลากหลาย ต่างอาชีพ ต่างวัย ต่างขีดความสามารถ
แต่จะทำอย่างไรให้รถคันนี้สามารถวิ่งได้ สิ่งแรกที่ทำได้ในขณะนี้คือเตรียมรถให้ดี พาคนขึ้นรถให้ได้ คนขึ้นรถรับแรกคือพวกเราเพื่อจะไปดูว่ารถคันนี้จะไปข้างหน้าไหวหรือไม่ แล้วพร้อมเมื่อไหร่ให้เอาคนขึ้นมา และเอาคนที่ทำรถคันนี้ไปขึ้นรถคันอื่น สร้างรถหลายๆคันออกมา ตนคิดว่าน่าจะต้องคิดแบบนี้
เพราะฉะนั้นวิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง โควิด 19 เป็นเรื่องของห่วงโซ่มีผลกระทบทั้งหมด แต่เราต้องย้อนกลับมาดูว่าวันนี้ รัฐบาลได้ทำอะไรไว้แล้วบ้าง หลายอย่างตั้งแต่ช่วงสมัยโควิด 19 เราใช้งบประมาณจำนวนมากในการดูแลเรื่องสุขภาพ หลายคนบอกว่า ไม่เห็นได้ประโยชน์กับใครเลย ไม่ได้ทำให้รายได้ดีขึ้นคนละเรื่อง สิ่งสำคัญที่สุดคือสุขภาพ เมื่อสุขภาพดีก็ดำรงชีวิตอยู่ได้ แน่นอนว่าหากประชาชนลำบากนายกรัฐมนตรี เจ็บปวดเห็นใจ เห็นได้ว่าอะไรทำได้ตนก็จะทำให้ได้มากที่สุดอย่างระมัดระวัง เพราะอะไรยัง ไม่ใช่ประเทศไทยนึกจะทำอะไรก็ทำได้
ประเทศไทยถือเป็นประเทศสำคัญประเทศหนึ่งในโลกที่หลายประเทศพุ่งเป้าให้ความสำคัญในยังประเทศไทย เป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการลงทุน อยู่อาศัยทำงาน เพราะเราดูแลเขาให้ดีที่สุด แต่คนไทยหลายส่วนอาจจะมีความไม่สบายใจ เข้ามาเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ให้กับประเทศไทย เอาเทคโนโลยีมาใส่เราจนมองว่าคุ้มค่าอย่าห่วง รัฐบาลมีมาตรการที่รัฐคุมอยู่แล้ว
ส่วนราคาพลังงาน ค่าขนส่งแพงขึ้น ก็น้ำมันมันแพง น้ำมันมาจากที่ไหน ซื้อเขามาใช่หรือไม่ น้ำมันทั้งหมดไม่ได้ซื้อตรงประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ต้องผ่านกลไกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะของใคร ทั้งตลาดเบนซ์ ตลาดโอเปค ทั้งหมดมีระเบียบวิเคราะห์บังคับ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีมาตรฐานกลาง ราคาพลังงานสูงขึ้นค่าขนส่งแพงขึ้นต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้น มีปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินการการเงินการคลังของต่างประเทศ
นายกฯ กล่าวช่วงหนึ่งว่า "เรื่องน้ำมันติดปัญหาทั้งโลก โธ่ ทำไมจะไม่อยากลด อยากลดจะตายอยู่แล้ว พร้อมกันนี้ยังแซวนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพลังงาน เดินไปไหน นั่งไม่ติด ไฟจะไหม้อยู่แล้ว แต่ไม่ไหม้ จุดไม่ติด เพราะน้ำมันน้อย ส่วนเรื่องราคาน้ำมัน อยากลด พูดจนกางเกงหลวมแล้ว ซึ่งทุกเรื่องจะเกิดมูลค่าได้ ด้วยการสร้างสตอรี่ ไม่ใช่สตรอเบอรี่ สิ่งสำคัญคือความรัก ความสามัคคีของคนไทย ไม่ต้องการทะเลาะกับใครอีกแล้ว
ส่วนค่าเงินบาทอ่อนลง ก็มีผลดีต่อการส่งออก ยอมรับว่ามีทั้งผลดีผลเสีย แต่ต้องพยายามดูอย่างรัดกุมที่สุด โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง แต่สำคัญที่สุดคือจะทำอย่างไรต้องไม่ทำให้การเงินการคลังของประเทศอ่อนแอลง เป็นหลักยืนยันให้ทุกประเทศในโลกเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเงินการคลังของไทย ซึ่งขณะนี้ในระดับ BBB+ แม้ว่าเราจะมีการกู้เงินมาใช้บ้างแต่ก็ยังคงแข็ง แรงอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากจะกู้ ไม่จำเป็นแล้วใครจะอยากกู้ ตนขอถาม ถ้าไม่กู้แล้วจะเอา GDP มาจากไหน เพิ่มรายรับมาจากครัวเรือนได้อย่างไร แต่วันนี้ทั้งหมดจะเดินไปด้วยกันใช่หรือไม่ ทั้งรัฐเอกชนธุรกิจและภาคประชาชน ไม่ได้มีเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีขนาดกลางขนาดเล็ก เพราะคือห่วงโซ่เดียวกันตั้งแต่การผลิตการแปรรูป การขนส่งโลจิสติกส์รวมถึงลานจำหน่ายตลาดในประเทศตลาดในพื้นที่ ใช้ประโยชน์จากการเจรจา ซึ่งวันนี้วันนี้โลกเปลี่ยนเป็น 3 ขั้ว แต่คงไม่ต้องกล่าวว่ามีขั้วอะไรบ้าง ยืนยันว่าไทยได้รับการยอมรับจากหลายประเทศในเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 และรัฐบาลต้องดูแลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยโดยไม่มีข้อยกเว้น
โดยนายกรัฐมนตรี ยังต้องการให้ ดินแดนอาเซียนเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข มีเสถียรภาพ ไม่มีสงคราม เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารของโลก ใครจะเป็นอะไรก็ว่าไปเถอะ แต่อย่างไรเราก็ไม่อดตาย เพราะฉะนั้นเราจะต้องดูแลให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแต่ใครจะขัดแย้งก็ว่ากันไป เราต้องรักษาตรงนี้ไม่ให้ได้
ช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการผ่อนคลายมาตรการให้สวมใส่หน้ากากอนามัย ที่สาธารณะตามความสมัครใจด้วยระบุว่า ต้องระมัดระวังตัวเองทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสิทธิส่วนบุคคลหากจะไปออกกฎหมายบังคับอะไรคงไม่ไหว หากไม่อยากเป็นก็ใส่หน้ากากเวลาอยู่ที่คนเยอะๆ เพราะเป็นเรื่องของความสมัครใจ อย่าไปกลัวว่าคนจะบูลลี่ว่าใส่หน้ากากกลัวอะไรนักหนา คนพูดนั้นติดมาเยอะแล้ว คนเยอะก็ระวังเสียหน่อย เปิดประเทศอย่างมียุทธศาสตร์อย่างมีเงื่อนไข ไม่ใช่เปิดไปเรื่อย จะทยอยเปิดตามลำดับเมื่อสถานการณ์มีปัญหาก็เบรคซะหน่อย เพราะใครเพราะผมหรอ เพราะพวกเราทุกคนที่ช่วยกันเพราะประชาชนทุกคน ช่วยๆกันไม่มีอะไรที่ทำสำเร็จได้ที่คนคนเดียวหรือฝ่ายเดียว หรือหน่วยงานเดียวไม่มีทาง เพราะนี่คือของการทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างพูด แล้วจะฟังใคร ต้องเอามาให้ได้เป็นคำพูดเดียว ไม่อยากไปลงในรายละเอียด ทั้งหมดคือแนวทางและการที่รัฐบาลทำมาโดยตลอด ต้องปรับเปลี่ยนปรับแก้ทั้งในสภาและนอกสภาและยังก็ดีขึ้นอะไรที่สามารถทำได้ในเชิงบริหารตนก็ทำให้ทั้งหมด
นายกรัฐมนตรียังขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันด้วย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่ารัฐบาลพูดอะไรทำไม่ได้ ก่อนที่จะกล่าวติดตลกว่า พูดสู้ประธานหอการค้าไม่ได้อยู่แล้วพูดไม่ดีก็จะโดนโห่ สิ่งสำคัญคือถ้าร่วมมือร่วมใจร่วมใจกล่าวทุกวัน เศรษฐกิจไทยโดยรวมจะเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้น พร้อมกับกล่าวชมคนไทยไม่ด้อยกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักความสามัคคี เสถียรภาพ เราทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว ไม่ต้องการทะเลาะกับใคร ทำให้ทุกคนทำให้ทุกจังหวัด
"ผมลงแผนงานโครงการให้ทุกจังหวัดแม้ว่าจะรักผมหรือไม่ แต่ก็ทำให้เขาเป็นหน้าที่ของผม เลิกกันเสียทีไม่เกิดอะไรขึ้น จะไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยสิ่งที่ทำมาแต่สูญเปล่าไปเฉยๆ เราต้องการเห็นประชาชนก้าวหน้าประชาชนอยู่ดียินดีแข่งขันกับประเทศอื่นได้เราต้องจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน"
ก่อนที่จะกล่าวย้ำในช่วงท้ายอีกว่า ต้องนั่งรถคันเดียวกันไป จะเป็นจะตายก็ต้องช่วยกันเข็น ส่วนใครจะนำก็ต้องว่าไป แต่สิ่งที่ทำวันนี้ต้องต่อเนื่อง ถ้าบอกว่าไอ้โน่นก็ไม่ดีไอ้นี่ไม่ใช่ไม่ถูก นายกฯไม่ได้ว่าใคร ว่าตัวเอง ชอบพูดหาเรื่องแบบนี้แหละ แต่พูดด้วยหัวใจ หัวใจของตนเพื่อประชาชน
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาถึง คณะผู้จัดงานได้มาแจ้งให้ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดไม่ใส่เนคไท เนื่องจาก นายกรัฐมนตรีอยากให้ผู้เข้าร่วมงานมีลุคเป็น Smart nexture