จากกรณีสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด (12 มิ.ย.65) น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้แชร์โพสต์ภาพเปรียบเทียบราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล เฉลี่ยในประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน ณ วันที่ 6 มิ.ย. จากเพจลุงตู่ตูน ได้โพสต์นำเสนอข้อมูลไว้เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา
พร้อมข้อความดังนี้ “มาเทียบราคาน้ำมันชัดๆ #พลเอกประยุทธ #นายกพยายามช่วยเหลือประชาชน”
สำหรับเนื้อหาในโพสต์มีดังนี้
ประเทศที่มีราคาน้ำมันแพงอันดับ 1 คือ สิงคโปร์ เบนซินลิตรละ 83.25 บาท ดีเซลลิตรละ 77 บาท ถูกสุดเป็นประเทศบรูไน เบนซินลิตรละ 13.25 บาท ดีเซลลิตรละ 7.75 บาท ส่วนไทยอยู่ลำดับ 7 เบนซินลิตรละ 44.65 บาท ดีเซลลิตรละ 32.94 บาท
ไขที่มา...ทำไมราคาน้ำมันไทย – อาเซียน ถึงต่างกัน?
สถานการณ์ราคาพลังงานตลาดโลกที่ยังผันผวนต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก นายกรัฐมนตรี มีข้อห่วงใยและกำชับทุกฝ่ายสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องราคาน้ำมันของไทย โดยย้ำว่าราคาน้ำมันไทยไม่ได้แพงที่สุดในอาเซียน และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
กระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่าท่ามกลางสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย - ยูเครน เป็นเหตุให้อุปทานพลังงานลดลง ประกอบกับสถานการณ์โควิดในหลายประเทศดีขึ้น ทำให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงและค่าครองชีพของประชาชนที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก
หากเปรียบเทียบราคาน้ำมันของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่นำเข้าน้ำมันเช่นเดียวกับประเทศไทย มีต้นทุนเนื้อน้ำมันไม่ต่างกันมากนัก เพราะราคาที่ซื้อ - ขาย จะอ้างอิงจากราคาตลาดโลก
แต่ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันที่ขายในแต่ละประเทศแตกต่างกันก็คือ โครงสร้างน้ำมันของแต่ละประเทศ ที่แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน ซึ่งประเทศมาเลเซียหรือบรูไน มีราคาน้ำมันถูกกว่าประเทศอื่น ๆ เพราะเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน จึงไม่ได้เก็บภาษีส่วนนี้
ในส่วนของประเทศไทย รัฐบาลได้ดูแลราคาน้ำมันมาอย่างต่อเนื่องโดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลรวมถึงการลดภาษี และล่าสุดได้ลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของน้ำมันกลุ่มเบนซิน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
ที่มา เฟซบุ๊กปารีณา ไกรคุปต์ , เพจลุงตู่ตูน