26 พฤษภาคม 2565 นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เปิดเผยถึงการประชุมสมัชชาอนามัยโลก ที่สหพันธรัฐสวิส ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เข้าร่วมด้วยว่า นายอนุทินได้รับเลือกให้ขึ้นพูดกลางที่ประชุมใหญ่ ในประเด็นสุขภาพและสันติภาพ ซึ่งถือเป็นโอกาสของไทย ในการแสดงจุดยืนเรื่องการต่อต้านสงครามและเรียกร้องให้นานาชาติช่วยเหลือเหยื่อของการสู้รบ ซึ่งไทยดำเนินตามหลักมนุษยธรรมอยู่ตลอด
นอกจากนั้น นายอนุทิน ยังกล่าวถึงระบบหลักประกันถ้วนหน้า ที่สร้างความทัดเทียมด้านสาธารณสุขให้ประชาชน ซึ่งช่วยยุติปัญหา ความขัดแย้ง แก่งแย่ง อันเกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย โดยนายอนุทินยืนยันความจำเป็นว่าระบบหลักประกันสุขภาพ ต้องมีอยู่ต่อไป เพราะถือเป็นสิทธิ์พึงได้ของประชาชน และยังพัฒนาสิทธิ์การรักษาเพิ่มเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการตรวจรักษาโควิด การรักษาโรคหายาก ฟอกไตฟรี 30 บาท รักษาทุกที่ และล่าสุดคือสวัสดิการผ้าอ้อมผู้ใหญ่
พร้อมทั้งขอให้องค์การอนามัยโลก นำความก้าวหน้าของไทย ไปปรับใช้กับนานาชาติ เมื่อทำสำเร็จ จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ ลดความขัดแย้งด้านเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะ ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งหลักการนี้ ได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติ และมีการขอเข้ามาหารือนำระบบสธ.ไทย ไปใช้ปรับปรุงในประเทศของเขา ซึ่งเราพร้อมสนับสนุน นอกจากนี้ ไทยยังได้รับการยอมรับจากทุกชาติเรื่องการควบคุมโควิดได้ดีเยี่ยม ยกนิ้วให้ ตอนนี้ไทยเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านสาธารณสุขแล้ว เรื่องระบบสาธารณสุขไม่มีใครเหนือกว่าไทยอีกแล้ว
ขณะที่ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเพิ่มเติมประเด็นดังกล่าวว่า ระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลก นายอนุทินหารือกับนาย Tedros Adhanom Ghrebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงความร่วมโครงการระหว่างไทยกับWHO ซึ่งผู้บริหาร WHO ชื่นชมไทยในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดที่มีประสิทธิภาพ และจะนำรูปแบบ รวมถึงระบบบริหารจัดการของไทย ไปเป็นแบบอย่างสร้างมาตรฐานสากล ใช้บริหารสถานการณ์โรคระบาดทั่วโลก
"ผู้บริหารWHO ชื่นชมความสำเร็จจัดการโควิดของไทย การฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากกว่า 70% ตามเป้าหมายของ WHO ซึ่งปัจจุบันไทยฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ครอบคลุม 81.4% เข็มที่ 2 จำนวน 75.3% ของประชากรทั้งประเทศ และขอบคุณที่ไทยเข้าร่วมโครงการพัฒนาของ WHO ต่อเนื่อง เช่น โครงการ WHO Biohub ซึ่งเป็นคลังเก็บเชื้อเพื่อวิจัย และแบ่งปันเชื้อ อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาและวิจัยวัคซีนป้องกันโรคอุบัติใหม่ต่างๆ"
น.ส.ไตรศุลี กล่าวอีกว่า นายอนุทินขอบคุณที่ WHO เลือกไทยเป็นประเทศนำร่องดำเนินกิจกรรมทบทวนการเตรียมความพร้อม กรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า จากการรับมือการระบาดใหญ่ของโควิด โดยผลดำเนินโครงการไทยสามารถบริหารจัดการการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโควิดได้ดี ซึ่งไทยพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ให้ประเทศต่างๆ