นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวความสำเร็จ “น้ำมันสารสกัดจากกัญชาขององค์การเภสัชกรรมได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร” ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งที่ผ่านมามีการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว 3 สูตร ล่าสุดมีเพิ่มอีก 1 สูตรทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 ว่า นับเป็นข่าวดีที่องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตน้ำมันสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ออกมารักษาผู้ป่วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบันให้บริการทั่วประเทศถึง 1,173 แห่ง โดยอภ.ได้ส่งมอบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ล็อตแรก ให้แก่คลินิกกัญชานำร่องในทุกเขตสุขภาพ
“ เป็นที่น่ายินดีว่าน้ำมันสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ขององค์การเภสัชกรรม ทั้ง 3 สูตรได้รับการบรรจุเป็นรายการยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร พ.ศ.2564 แล้ว โดยได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงจะช่วยให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษาสุขภาพได้มากขึ้น แต่ยังจะช่วยให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็งทางยา ลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้ายาราคาสูงจากต่างประเทศ ได้อีกด้วย ”
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ที่สำคัญการรักษาตรงนี้จะอยู่ในสิทธิ์ประกันสุขภาพภาครัฐทั้ง 3 สิทธิ์การรักษา ทั้งบัตรทอง ประกันสังคม และสิทธิ์ข้าราชการ
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรม มีการพัฒนาการผลิตและนำผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ทยอยออกสู่ตลาด เพื่อให้แพทย์ของคลินิกกัญชาแผนปัจจุบันโรงพยาบาลภาครัฐ 126 แห่ง และโรงพยาบาลและคลินิกเอกชน 71 แห่ง นำไปใช้กับผู้ป่วย ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ได้การตอบรับเป็นที่น่าพอใจทั้งจากแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาและผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ขององค์การเภสัชกรรม
ด้าน นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา อภ.ได้ผลิตน้ำมันสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ 3 รายการ เป็นรูปแบบยาหยดใต้ลิ้น ประกอบด้วย
“ ล่าสุด องค์การเภสัชกรรม ได้พัฒนาสูตรที่ 4 ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นการใช้น้ำมันสารสกัดกัญชาที่มี THC เด่น เนื่องจาก ในคลินิกกัญชาทางการแพทย์ที่ผ่านมา พบว่าผู้ป่วยบางรายมีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันสารสกัดกัญชาที่มี THC สูงกว่าผลิตภัณฑ์เดิมที่มีความเข้มข้น 13 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยระยะสุดท้าย องค์การเภสัชกรรมจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันสารสกัดกัญชาสูตรใหม่ที่มี THC เข้มข้น 81 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร เพื่อใช้เป็นการรักษาเสริมในภาวะคลื่นไส้ อาเจียนจากเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายที่มีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือมีอาการปวดในระดับปานกลางจนถึงรุนแรง ”
นพ.วิฑูรย์ กล่าวอีกว่า สำหรับสูตรที่ 4 ได้ผ่านการรับรองผลิตภัณฑ์จาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. แล้ว ปัจจุบันคณะอนุกรรมการประเมินรายการยาได้พิจารณาบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร และอยู่ระหว่างขั้นตอนการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป นับเป็นยาจากกัญชารายการที่ 4 ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ที่ได้บรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร
นอกจากนี้ อภ.ยังร่วมกับเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรวม 12 แห่ง ในการเตรียมความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ และกำลังการผลิตรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากกัญชาและกัญชง ซึ่งขณะนี้ยังสามารถผลิตได้เพียงพอ
ด้าน ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า โดยหลักการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตามข้อบ่งชี้นั้น ที่ผ่านมาจะใช้อยู่ 2 สูตร คือ น้ำมันสารสกัดกัญชาที่มี THC เด่น และ น้ำมันสารสกัดกัญชาที่มี CBD และTHC สัดส่วน 1:1 แต่ที่ผ่านมามีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่สามารถรักษาตามสูตรดังกล่าวได้ เนื่องจากต้องใช้หลายหยดมาก โดยความเข้มข้นนี้ไม่ได้
ขณะนั้นกรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้ออกน้ำมันสกัดกัญชาสูตรความเข้มข้นสูง แต่ด้วยกำลังการผลิตจึงยังไม่เพียงพอ ดังนั้น ทาง อภ.จึงมาสนับสนุนช่วยเสริมตรงนี้ โดยสายพันธุ์กัญชาที่นำมาปลูกสามารถสกัดออกมาได้มาก จนได้สูตรที่ 4 ซึ่งมีความเข้มข้นมากกว่าของเดิมถึง 6 เท่า
เมื่อถามว่าแพทย์ที่รักษาจะต้องเลือกใช้อย่างไร ภญ.นันทกาญจน์ กล่าวว่า แพทย์จะผ่านการอบรมเกณฑ์การใช้ ซึ่งจะใช้ในระดับต่ำก่อนและดูผลตอบลัพธ์เป็นอย่างไร อยู่ที่ดุลยพินิจของแพทย์ โดยผู้ป่วยไม่สามารถร้องขอจะใช้สูตรไหนได้ ต้องให้แพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมทั้งคลินิกที่ผ่านการขออนุญาตใช้ตามกฎหมายได้
สำหรับการใช้ทาง อภ.จะผลิตตามพรีออเดอร์ ความต้องการใช้ โดยสามารถเข้าไปดูใน เว็บไซต์ขององค์การเภสัชกรรม ได้ว่า มีสถานพยาบาล หรือคลินิกไหนที่ใช้น้ำมันสกัดกัญชาของ อภ. จะมีการอัปเดตข้อมูลในเว็บไซต์
ส่วนอาการข้างเคียงไม่มาก ส่วนใหญ่มีอาการปากแห้ง คอแห่ง อย่างไรก็ตาม กรณีการใช้สูตรที่ 4 ขณะนี้ยังไม่ได้มีการใช้ต้องรอการประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อน