คลอดแล้ว มาตรการเปิดเรียน On Site “ติดโควิด”เรียนได้ ภายใต้เงื่อนไขอะไรบ้าง
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
สธ. และ ศธ. จัดมาตรการรองรับโรงเรียนเปิดเทอมแบบ On Site ย้ำไม่ต้องตรวจ ATK บ่อยๆ เน้นตรวจกลุ่มจำเป็นกลุ่มเสี่ยง พร้อมออกแนวทางปฏิบัติ ครู นักเรียน บุคลากรสถานศึกษา หาก “ติดเชื้อ-เสี่ยงสูง” เรียนได้ตามปกติแบบมีเงื่อนไข
3 พฤษภาคม 2565 นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมชี้แจงการเตรียมพร้อมเปิดเรียน On Site ปลอดภัย อยู่ได้กับโควิด19 ในสถานศึกษาทั่วประเทศ ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมประชุม
นายสาธิต กล่าวว่า สถานการณ์โควิดขณะนี้แนวโน้มเริ่มลดลง ซึ่งสอดรับกับการที่ประเทศไทยตั้งเป้าเดินหน้าเข้าสู่โรคประจำถิ่น ซึ่งหลายภาคส่วนก็เริ่มผ่อนคลาย แต่มีมาตรการเข้มในการรับมือ โดยเฉพาะการเปิดเรียนรูปแบบออนไซต์ (On Site) ซึ่งจะเปิดกลางเดือน พ.ค.นี้
ทั้งนี้ เน้นย้ำ มาตรการ 4 เรื่องสำคัญ ดังนี้
- 1. เร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิดโดยสถานศึกษา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยให้เปิดบริการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 60% โดยการฉีดแบ่งเป็นเด็กอายุ 5-11 ปี ซึ่งสถานศึกษาต้องเร่งสำรวจเด็กที่ยังไม่ได้เข้ารับวัคซีน หรือการเข้ารับวัคซีนเข็ม 2 ให้ครอบคลุม ส่วนเด็กอายุ 12-18 ปี เป็นการฉีดบูสเตอร์ หรือเข็มกระตุ้น
- 2. สถานศึกษา ต้องเข้ารับการประเมิน Thai Stop COVID Plus โดยต้องผ่านการประเมินมากกว่าร้อยละ 95 ส่วนเรื่องการตรวจเชื้อ ATK กรมอนามัยได้มีการหารือกับศบค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ขอให้เป็นการตรวจเชื้อ ในรูปแบบ เฝ้าระวังอย่างเหมาะสมเฉพาะเมื่อมีความเสี่ยง หรือเมื่อมีอาการเท่านั้น จากเดิมตรวจ 3-5 วัน
- 3. เน้นย้ำการทำตามแผนเผชิญเหตุ เมื่อเจอผู้ติดเชื้อ หรือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ไม่ดำเนินการปิดชั้นเรียนหรือโรงเรียน เป้าประสงค์นักเรียนควรได้รับการเรียนรู้อย่างเต็มที่ที่โรงเรียน
- 4. เน้นย้ำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดให้ปฏิบัติตามมาตรการ โดยมอบหมายให้ศูนย์อนามัยในเขตสุขภาพเป็นพี่เลี้ยง
ด้านนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขมีการเตรียมพร้อมมาตรการการเปิดเรียนแบบ On Site โดยเป็นโรงเรียนที่มาจากหลายสังกัดรวมแล้วกว่า 3 หมื่นแห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนสังกัด สพฐ. 29,200 แห่ง โรงเรียนสังกัดเอกชน 4,100 แห่ง และโรงเรียนสังกัดอื่นๆ อาทิ สังกัดท้องถิ่น สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ฯลฯ อีกราว 1,800 แห่ง ซึ่งมีความพร้อมจะเปิดเรียน 90% ในวันที่ 17 พ.ค.นี้
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สำหรับมาตรการเตรียมพร้อมเปิดภาคเรียน ในเรื่องการฉีดวัคซีนนักเรียนอายุ 12-17 ปี ควรได้รับวัคซีนกระตุ้น หรือวัคซีนเข็ม 3 ผ่านระบบสถานศึกษา และเร่งฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปี ตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการฉีดวัคซีนที่ผ่านมาในกลุ่มเด็กมัธยม มีการฉีดทั้งเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ไม่น้อยกว่า 70% แต่การกระตุ้นเข็ม 3 ยังอยู่ในอัตราต้องเร่งรัด เพราะตอนนี้ยังไม่ถึง 6% จึงต้องเร่งดำเนินการให้เพิ่มขึ้น ส่วนเด็กประถมศึกษาอายุ 5-11 ปี ข้อมูลการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 อยู่ที่ 53% ส่วนเข็ม 2 อยู่ที่ประมาณ 13% แต่ข้อมูลล่าสุดอาจมากกว่านี้
นพ.สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า การฉีดวัคซีนจึงขอให้เน้นฉีดเข็มกระตุ้นในเด็กมัธยม แต่เด็กประถมแม้จะเป็นเรื่องความสมัครใจ แต่ก็ต้องสร้างความเข้าใจให้ผู้ปกครอง เพื่อให้ตัดสินใจเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม กรณีนักเรียนมีการติดเชื้อ หรือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ก็จะมีแผนเผชิญเหตุในการรองรับ ซึ่งขอให้ทุกจังหวัดได้ศึกษาการดำเนินการเรื่องนี้ แบ่งเป็น
มาตรการการเปิดเรียนในโรงเรียนประจำ เน้นแซนด์บ็อกซ์ เซฟตี้โซน แบ่งเป็น
- กรณีนักเรียน ครูเป็นผู้ติดเชื้อ กรณีไม่มีอาการ จัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสมเว้นระยะหว่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร งดกิจกรรมรวมกลุ่ม เน้นการระบายอากาศ
- กรณีครู นักเรียน หรือบุคลกร เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ เรียนได้ตามปกติ จัดระยะห่างระหว่างนักเรียนไม่น้อยกว่า 1 เมตร
- กรณีสัมผัสเสี่ยงสูง หากไม่ได้รับวัคซีน ทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการแนะนำให้กักตัวเป็นเวลา 5 วัน และติดตามเฝ้าระวังอีก 5 วัน กรณีได้รับวัคซีนโควิด ไม่แนะนำกักกัน ตรวจคัดกรองหาเชื้อด้วย ATK ถ้ามีอาการตรวจทันที ให้ตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 5 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อและตรวจครั้งสุดท้ายวันที่ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ
มาตรการเปิดเรียนออนไซต์ อยู่กับโควิดโรงเรียนไป-กลับ
- กรณีนักเรียนครู หรือบุคลากรติดเชื้อ แยกกักตัวที่บ้าน หรือพิจารณาจัดทำ School Isolation โดยคณะกรรมการสถานศึกษา หน่วยงานสาธารณสุขและคณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัด จัดรูปแบบการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มไม่มีอาการ ทำความสะอาดห้องเรียน ชั้นเรียน สถานศึกษา และเปิดเรียนตามปกติ
- กรณีครู นักเรียนหรือบุคลากรเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ เรียนในสถานศึกษาได้ตามปกติ เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 1 เมตร
- กรณีสัมผัสเสี่ยงสูง กรณีไม่ได้รับวัคซีนโควิดตามแนวทางปัจจุบัน ทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการแนะนำให้กักตัวเป็นเวลา 5 วัน และติดตามเฝ้าระวังอีก 5 วัน กรณีได้รับวัคซีนครบตามคำแนะนำในปัจจุบัน ไม่มีอาการ ไม่แนะนำให้กักกัน และพิจารณาให้ไปเรียนได้ โดยมีการตรวจหาเชื้อด้วย ATK ถ้ามีอาการให้ตรวจทันที ให้ตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 5 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ และตรวจครั้งสุดท้าย วันที่ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ และสถานศึกษาจัดการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร และประสานหน่วยบริการสาธารณสุขตามระบบงานอนามัยโรงเรียน