นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานเปิดงาน วันจัดประชุมและนิทรรศการแห่งชาติหรือ ไมซ์เดย์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แนวคิด ไมซ์ไทย ก้าวสู่วันอันยิ่งใหญ่ ซึ่งทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ 26 เมษายนของทุกปี เป็นวันจัดประชุมและนิทรรศการแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการตระหนักและความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ ที่เชื่อมโยงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยภายในงานยังได้มีการเปิดตัวแบรนด์อุตสาหกรรมไมซ์ประเทศไทยสำหรับตลาดต่างประเทศด้วย อีกทั้ง ยังคงตอกย้ำความสำคัญอุตสาหกรรมไมซ์ ที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
โดยไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพในทางด้านการจัดงานระดับโลกที่มีเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมและระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงมีมาตรการทางด้านสาธารณสุขในการรองรับกาจัดงาน
ดร. อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ องค์การมหาชน ระบุว่า ในช่วงที่ประเทศไทยได้มีการเปิดประเทศ และมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ อุตสาหกรรมไมซ์ไทย จะเป็นหนึ่งในอุตสหกรรมที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะมีจำนวนผู้เดินทางในการเข้าร่วมอุตสาหกรรมไมซ์กว่า 195 ล้านคน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหมุนเวียนกว่า 1.8 ล้านล้านบาท
โดยประเทศไทยเตรียมพร้อมในการที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก เช่น การประชุมเอเปค 2022 , งานมหกรรมพืชสวนโลกปี 2026 และ งานระดับโลกอื่นๆ
นายอนุทิน ระบุว่า ต่อจากนี้จะเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ ในการขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจ หลังโควิด-19 ระบาด ไทยสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ดี หากไทยดำเนินการตามมาตรการที่วางไว้ ก็จะทำให้ไทยเปิดประเทศได้มากขึ้น ทำให้ชาวต่างชาติและประชาชนในประเทศสามารถที่จะเดินทางไปมาหาสู่กันได้
โดยจะเริ่มใช้มาตรการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ วันที่ 1 พฤษภาคม นี้ ขอให้มั่นใจว่ามีการเตรียมพร้อมประเมินสถานการณ์ไว้เป็นอย่างดี หากมีปัจจัยเสี่ยงหรือเหตุการณ์เกิดขึ้น ก็มีแผนรองรับ กระทรวงสาธารณสุข มองว่าวันนี้ มีการเปิดประเทศ เรามีมาตรการรองรับ ภายใต้ 3 พอ คือ ยาพอ หมอพอ เวชภัณฑ์ และเตียงพอ
โควิด-19 ในปัจจุบันนี้ หากมองแต่การติดเชื้อรายวัน ก็คงไม่ได้เดินหน้าในเรื่องอื่นๆ เศรษฐกิจก็จะไม้ขับเคลื่อนต่อไปได้หากเข้มมาตรการเกินไป เช่น ในต่างประเทศที่มีการควบคุมเข้มงวด สุดท้ายก็ต้องมีการเปิดประเทศอยู่ดี ประชาชนต้องเข้าใจธรรมชาติของไวรัสโควิดและการป้องกันตัวเองอย่างดี
โดยตอนนี้ สำหรับประเทศไทย เน้นในการเฝ้าระวังโควิด-19 กลุ่มผู้ป่วยอาการหนัก รวมถึงอัตราการเสียชีวิตให้อยู่ในหลักเกณฑ์ มาตรฐานการแพทย์รองรับให้ได้ ยืนยันว่ายามีเพียงพอ รวมถึงวัคซีนมีเพียงพอในการที่จะให้ประชาชนในประเทศฉีดเข็มกระตุ้นและมีการศึกษาภูมิหลังรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็ม 3 พบภูมิขึ้นดี และหากฉีดครบ 4 เข็ม อัตรการเสียชีวิตจะต่ำ
ส่วนการเสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 120 กว่าคน ตอนนี้พยายามที่จะจำแนกรายละเอียดในการเสียชีวิตจากโควิด ว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลให้กับประชาชน ย้ำกระทรวงสาธารณสุขมีการประเมินสถานการณ์โควิด-19 ในทุกๆด้านตลอด รวมถึง การพิจารณา ปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่นปัจจัยในเรื่องของวัคซีน
ทั้งนี้ มาตรการเข้มข้นต่างๆ ก็จะลดระดับลงตามสถานการณ์ ซึ่งจะสอดคล้องกับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบเพื่อเดินหน้าทางด้านเศรษฐกิจ
นายอนุทิน ระบุถึงในช่วงสงกรานต์ที่มีการให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาโดย มองว่า ระบบสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่มีโรงพยาบาลประจำจังหวัด ทุกอำเภอ มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในการรองรับ รวมถึง อสม. ในการช่วยดูแลให้ความรู้ประชาชน