svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"สุวัจน์"นั่งประธานชพน."Come Back"โคราชชู 7 นโยบายแก้วิกฤตประเทศ

23 เมษายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"ชาติพัฒนา"มีมติตั้ง"สุวัจน์ ลิปตพัลลภ"เป็นประธานพรรค ปรับยุทธศาสตร์ 4 ด้าน พร้อมชู 7 นโยบายทางออกประเทศหลังการเลือกตั้ง ลั่นชพน. Come Back เตรียม หวนคืนความยิ่งใหญ่ยึดโคราช

23 เมษายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ได้จัดประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2565 ณ ห้องประชุมลำปลายมาศ โรงแรมแคนทารี่ จ.นครราชสีมา โดยมี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค พร้อมด้วย นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรค นายวัชรพล โตมรศักดิ์ เลขาธิการพรรคชาติพัฒนา และ ส.ส.นครราชสีมา รวมทั้งที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ประกอบด้วย นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล อดีตรมว.พลังงาน นายสุเมธ ศรีพงษ์ อดีต ส.ว.นครราชสีมา พ.อ.วินัย สมพงษ์ อดีตรมว.คมนาคม และนายประเสริฐ บุญชัยสุข นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ในฐานะรองหัวหน้าพรรค

 

"สุวัจน์"นั่งประธานชพน."Come Back"โคราชชู 7 นโยบายแก้วิกฤตประเทศ

 

โดยสมาชิกพรรคชาติพัฒนาจำนวนมาก เข้าร่วมประชุมและรับฟังบรรยายสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและ การเมืองภายใต้หัวข้อ "ทางออกของประเทศภายหลังการเลือกตั้ง" รวมถึงการลงคะแนนเลือกตั้งประธานพรรค ซึ่งที่ประชุมใหญ่มีมติเลือก นายสุวัจน์ เป็นประธานพรรคชาติพัฒนา ซึ่งตำแหน่งดังกล่าว มีหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน คือ การเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านเทคโนโลยี เพื่อจัดทำนโยบายและข้อเสนอแนะในการบริหารงานของพรรคชาติพัฒนา ให้ทันกับการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองและสร้างความอยู่ดี กินดี ให้กับประชาชน

 

 

โดยนายสุวัจน์ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณที่พรรคไว้วางใจให้รับตำแหน่งดังกล่าว จากการที่ได้มีการแก้ไขข้อบังคับพรรค เพื่อปรับปรุง โครงสร้างการทำงานของพรรคชาติพัฒนาให้สอดคล้องกับ ภาวะปัญหาและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของปัจจัยต่างๆ ของโลกรอบตัว และปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ เพื่อให้พรรคชาติพัฒนามีขีดความสามารถในการทำงานทางการเมือง โดยโครงสร้างพรรคใหม่ ภายใต้ข้อบังคับที่มีการแก้ไขวันนี้ (23เม.ย.) ก็จะเพิ่มเติมให้มีโครงสร้างของคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคมี ทั้งหมด 4 คณะ คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมท้องถิ่นและ การเมือง ด้านเทคโนโลยี และด้านการเมือง

 

"สุวัจน์"นั่งประธานชพน."Come Back"โคราชชู 7 นโยบายแก้วิกฤตประเทศ

 

ทั้งนี้ โดยมีประธานพรรค เป็นประธานของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ทั้งหมด ซึ่งหน้าที่ก็จะคล้ายๆ กับบริษัทใหญ่ๆ จะมีคณะผู้บริหารและบอร์ดใหญ่ โดยบอร์ดใหญ่จะดูแลเรื่องนโยบายต่างๆ มอบให้กับคณะผู้บริหารรับไป พิจารณาเป็นแนวทางการบริหาร คณะผู้บริหารของพรรคก็จะมี หัวหน้าพรรคเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกับกรรมการบริหารพรรค คณะกรรมการยุทธศาสตร์ก็จะทำหน้าที่คล้ายบอร์ดนโยบายที่จะ ประกอบด้วยผู้อาวุโส มีประสบการณ์เยอะๆ นักวิชาการต่างๆ มาร่วมกันคิดยุทธศาสตร์และนโยบาย ที่จะนำมาใช้ในการแก้ไข ปัญหาของประเทศและของประชาชนให้ลุล่วง โดยมอบยุทธศาสตร์และนโยบายให้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร พรรครับไปเป็นแนวทางในการทำงานต่อไป

ส่วนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้ามีความสำคัญมาก กับอนาคตของประเทศและของพรรค ต่างกับทุกครั้ง เพราะครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งที่อยู่บนมหาวิกฤตและความหวังของประชาชน ว่าใครจะมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แล ต่อเนื่องมาตลอดจนถึงวันนี้ เป็นวิกฤตจริงๆ ทั้งเรื่องโควิด วิกฤต เศรษฐกิจ และสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงที่กระทบต่อทุกคนอยู่ ในเวลานี้ เกิดจากสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน 

 

สถานการณ์การค้าการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากโควิด สถานการณ์ของสงครามการค้าของจีนและสหรัฐฯ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ( TECHNOLOGY DISRUPION) ทั้งเทคโนโลยีดิจิทัล เทคโนโลยีชีวภาพ วิทยาศาสตร์ชีวภาพทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในการดำรงชีวิต ชีวิตและการทำธุรกิจ ทำให้มีผลกระทบต่อขีดความสามารถด้าน การแข่งขันของประเทศ กระทบต่อการเติบโตของ GDP ประเทศ กระทบการลงทุนจากต่างชาติ กระทบการส่งออก กระทบต่อผลผลิตและราคาพืชผลการเกษตรของเกษตรกร กระทบต่อรูปแบบการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป การทำอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป กระทบต่อ SME ที่ปรับตัวไม่ทัน ปัญหาภัยธรรมชาติ ต่างๆ น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหวที่เกิดจากปัญหาโลกร้อนกลาย เป็นปัญหาใหญ่ของโลกที่ต้องแก้ไขร่วมกัน ถ้าฟังปัญหาทั้งหมด ก็จะเห็นมหาวิกฤตจริงๆ บ้านเมืองของเราวันนี้ ก็เป็นเรื่องที่พวก ต้องช่วยกันแก้ไข ช่วยกันคิดว่าจะพาประเทศชาติออกจาก วิกฤติได้อย่างไรกัน ถึงเป็นที่มาของหัวข้อการพูดวันนี้ว่า

 

"สุวัจน์"นั่งประธานชพน."Come Back"โคราชชู 7 นโยบายแก้วิกฤตประเทศ

 

นายสุวัจน์ กล่าวต่อว่า ทางออกประเทศหลังการเลือกตั้ง หมายถึงงานและนโยบายต่างๆ ที่จะต้องดำเนินการกันอย่างจริงจัง เพื่อกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจกลับมาและให้เติบโตอย่างยั่งยืน สร้าง Plat Form ใหม่ ไม่ให้เสียเปรียบ แข่งขันบนจุดแข็งที่มีอยู่ และสามารถรักษาขีดความสามารถด้านการแข่งขันไว้ได้
เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี มีชีวิตความ เป็นอยู่ที่ดี มีความรักสามัคคีเกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง ให้เมืองไทยกลับมามีรอยยิ้ม รักกัน มีความสุขเหมือนเดิม

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ควรทำกันเพื่อให้ประเทศชาติมีทางออก ซึ่งหลายประเด็นที่อยากเสนอให้ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ รวม 7 เรื่อง คือ

 

1.ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องและดูแลผลกระทบจากโควิด (Post Covid) คือ เตรียมความพร้อมด้านวัคซีน ยารักษาโรค แพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลต่างๆ ในการดูแลผู้ป่วยและผู้หาย ป่วยอย่างใกล้ชิด ไทยควรจะผลิตวัคซีนที่เป็นของเราเองให้เพียง พอและทันเหตุการณ์กับโควิดและโรคระบาดใหม่ๆ เพื่อเป็น โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข

 

ขณะเดียวกันก็ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ GDP กลับมาอยู่ในระดับ 4–5% เป็นอย่างน้อย อาจจะต้องจัดเตรียม เงินให้เพียงพออีกประมาณ 1 ล้านล้านบาท ในการกระตุ้น เศรษฐกิจครั้งใหม่ แต่ควรเน้นการกระตุ้นให้มากกว่าการบรรเทา ใช้จ่ายเงินให้ตรงเป้าหมาย เอาเงินไปสร้างงานให้เกิด เหมือนให้เบ็ดไปตกปลา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ทุกคนมีงานทำทั้ง ระบบ และต้องไม่กระทบเสถียรภาพการคลังของประเทศ

 

2.ใช้เทคโนโลยีมาสร้างความทันสมัยให้กับประเทศ ที่ผ่านมาขีดความสามารถด้านการแข่งขันลดลงและ GDP เติบโตน้อย เพราะยังใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกับการพัฒนาประเทศไม่ทันเพื่อนบ้าน ขณะนี้เทคโนโลยีดิจิทัลหล่อหลอมรวมกับเทคโนโลยี ชีวภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในโลกธุรกิจและชีวิตของมนุษย์ เช่น AI หุ่นยนต์ รถยนต์ ไฟฟ้า Blockchain สกุลเงินดิจิทัล เศรษฐกิจดิจิทัล ระบบอุตสาหกรรมใหม่ เศรษฐกิจใหม่ BCG

 

"วันนี้นอกจากต้องมีธรรมภิบาลใน การบริหารงานภาครัฐแล้ว ต้องเป็น Open Governance ด้วยคือ Open Data ,Open Process , Open Governance ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีมาปรับพื้นฐาน ในการบริหารและพัฒนาประเทศอย่างจริงๆ เราถึงจะสู้กับประเทศอื่นๆ ได้ในทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน ฉะนั้น ควรวางระบบ การศึกษาให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีได้ต้อง Reskill บุคลากร ภาครัฐและเอกชนให้ทันเทคโนโลยี จัดตั้งกองทุนพัฒนา เทคโนโลยีขึ้นมา ส่งเสริมให้มี Start Up และมาตรการภาษีใน การนำเข้าเทคโนโลยีมาใช้งาน" นายสุวัจน์ กล่าว

 

3.สร้าง Plat Form ใหม่ของระบบเศรษฐกิจบนจุดแข็งของไทย คือ เกษตร - อาหาร , ท่องเที่ยว – Soft Power และภูมิศาสตร์ เหมือนแข่งฟุตบอลในบ้านไม่ค่อยแพ้ "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" ให้พัฒนาภาคการเกษตรเป็นหลัก และไทยเป็นผู้ผลิตใหญ่ของโลก คือ ข้าว อ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม ข้าวโพด ทำให้เป็นสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมสำหรับการส่งออก

 

แทนที่การส่งออกในรูปแบบสินค้าเกษตรอย่างเดียว เพราะมีมูลค่าเพิ่มมาก และสร้าง SMEs ห่วงโซ่การผลิตเพิ่ม สร้างรายได้ เพิ่มให้เกษตรกร ทำแผนงานให้ชัดเจนต้องเสร็จในกี่ปีสำหรับ สินค้าเกษตรแต่ละชนิดใช้ ระบบ Smart Farmer เพื่อเพิ่มผลผลิต เรื่องท่องเที่ยว – Soft Power เป็นวัฒนธรรมของชาติ ความ สวยงาม ธรรมชาติ อาหารการกินต่าง ๆ เป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยว ต้องเน้นระยะเวลาในการพานักของนักท่องเที่ยวให้อยู่ นานขึ้นจากปกติเฉลี่ย 10 วัน ให้ใช้จ่ายมากจากปกติเพียง 5,000 บาท จะทำให้เพิ่มรายได้มหาศาล สร้างเมืองให้ไทยเป็น High End Destination จับนักท่องระดับสูง สร้างเมืองไทยเป็น Regional Wellness Hub ของโลก สร้างการท่องเที่ยว แบบ ดำเนินชีวิตวิถีพุทธ สร้างเมืองไทยเป็นสุดยอดอาหารโลก Streetfood ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเที่ยวมากิน ต้องรีบ ปรับปรุง Infrastructure ด้านการท่องเที่ยวและสร้างความ ปลอดภัย

 

"บ้านเราอุดมสมบูรณ์ด้วยวัฒนธรรม อาหาร การแสดง ที่เป็น Soft Power อยู่แล้ว ควรจัดตั้งกองทุน Soft Power เพื่อ สร้างศิลปิน ดนตรี ภาพยนตร์ อาหาร กีฬาต่างๆ ให้โลกรู้จัก จะ ได้ประชาสัมพันธ์ประเทศจะเป็นประโยชน์ ด้านการท่องเที่ยว การลงทุน เพื่อให้เมืองไทยเป็น Soft Power Hub เป็นศูนย์กลาง การจัด Event ใหญ่ๆ ด้วยวัฒนธรรม ดนตรี กีฬา จะได้ ประชาสัมพันธ์ดึงดูดนักลงทุน นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ" นายสุวัจน์ กล่าว

 

ใช้ภูมิศาสตร์ที่ตั้งของประเทศไทยให้เป็นประโยชน์กับข้อตกลงการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่เปลี่ยนแปลง และเกิดขึ้นมากล้อมตัวเราอยู่ เช่น ใช้อีสานเป็นระเบียงเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์โลกเอเชียแปซิฟิกและเส้นทางสายไหม (BRI) ของจีน APEC และ CPTPP ขยายรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ – โคราช ข้ามน้ำโขงผ่านมาเชื่อมจีน รวมตัวของ Motor Way กรุงเทพ - โคราช สู่เพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง อีสานก็จะเป็น ภูมิภาคอินเตอร์ทำให้เกิดการค้า การลงทุน โลจิสติกและการ ท่องเที่ยว โคราชก็จะเป็นมหานคร (Metropolis) ของภูมิภาคนี้

 

4.ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง สร้างความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ จากการประสบความสำร็จในการช่วยกันแก้ไขปัญหาโควิด เป็น ตัวอย่างหนึ่งว่า การกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น ทำให้เกิดพลัง ของท้องถิ่น ในการร่วมมือกันจัดหาวัคซีน รับส่งผู้ป่วย ตรวจ ATK จัดหาอาหารช่วยเหลือกันยามยาก ควรเน้นย้ำให้เกิดการก ระจายอำนาจ ให้มากขึ้น แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคให้เกิด ความเป็นอิสระในการทำงาน เพิ่มรายได้ท้องถิ่น ให้ครบ 35 % ของรายได้ภาครัฐ ส่งเสริมการจัดตั้งให้เป็นเมืองพิเศษตามด้วย ศักยภาพของเมือง เพื่อเป็นพื้นฐานให้กับเศรษฐกิจประเทศ เช่น เมืองพิเศษด้านท่องเที่ยว การค้าชายแดน เป็นต้น

 

"สุวัจน์"นั่งประธานชพน."Come Back"โคราชชู 7 นโยบายแก้วิกฤตประเทศ

 

5.ผู้สูงอายุ คือ กำลังของประเทศ ขณะนี้มีผู้สูงอายุ (60 ปี) ประมาณ 12 ล้านคน แต่อีก 20 ปีข้างหน้าจะมีผู้สูงอายุ 20 ล้าน คน ขณะเดียวกันคนในวัยทำงาน(15-59 ปี) ขณะนี้มี 43 ล้านคน อีก 20 ปีจะเหลือ 36 ล้านคน แสดงว่าคนวัยทำงานจะน้อยลง คน สูงอายุจะมากขึ้น กำลังการผลิตของไทยจะน้อยลง เศรษฐกิจจะ ถดถอย และต้องดูแลผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ผู้สูงอายุวันนี้มี สุขภาพแข็งแรง ระบบการแพทย์สาธารณสุขต่างๆ การออกกำลัง กาย ควรเพิ่มอายุเป็น 65 ปี สำหรับเกณฑ์ ผู้สูงอายุและควรขยาย การเกษียณอายุเป็น 65 ปี เหมือนบางประเทศ เพื่อให้ผู้สูงอายุผู้ มาก ประสบการณ์เป็นกำลังที่สำคัญของบ้านเมืองได้ และจัดตั้งกองทุนผู้สูงอายุที่ผู้สูงอายุและรัฐจ่ายเงินเข้ากองทุน ร่วมกัน เพื่อเป็นสวัสดิการ และความมั่นคงในระยะยาว

 

 6.เตรียมพร้อมรองรับปัญหาโลกร้อน (Global Climate Change) ต่อไปจะเห็นการกีดกันทางการค้าอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสหภาพ ยุโรปเตรียมใช้ มาตรการนี้ เรื่องภาษีนำเข้าถ้าผลิตสินค้าก่อให้ เกิดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต เราต้องปรับปรุง กระบวนการผลิตเพื่อรักษาการส่งออก และรถยนต์ไฟฟ้าจะมา แทนที่รถยนต์น้ำมัน ไทยเคยเป็น Detroit ของเอเชียผลิตรถยนต์ ปีละกว่า 3 ล้านคัน จะทำยังไงกับ SME ที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ น้ำมัน เพราะในอนาคตเมื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้าชิ้นส่วนเครื่องยนต์จะ น้อยลง ต้องรีบปรับเปลี่ยนห่วงโซ่การผลิต เพื่อลดผลกระทบการ ผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันและก๊าซก่อให้เกิด ผลกระทบเรื่องโลกร้อน และราคาแพงเมื่อเทียบกับพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสง อาทิตย์

 

ควรส่งเสริมการลงทุนและผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสง อาทิตย์ ซึ่งมีระยะเวลาคืนทุน 3-4 ปี ควรส่งเสริมให้ประชาชน เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์หรือหมู่บ้านและชุมชนผลิตไฟฟ้า เพื่อใช้เอง และที่เหลือก็ส่งเข้าระบบของการไฟฟ้าไปขายต่อ ขณะเดียวกันภาวะโลกร้อนจะก่อให้เกิดปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง ภัยธรรมชาติ ควรมีแผนแม่บทด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะแก้ไข ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งอย่างจริงจัง ไม่ให้กระทบภาคการเกษตร และประชากรในพื้นที่น้ำท่วมต่าง ๆ

 

7.การเมืองทางออกสุดท้ายของประเทศ ต้องมีเสถียรภาพ คุณภาพ เสียสละ ลดความขัดแย้ง ที่ผ่านมาเราได้รับผลกระทบจากเสถียรภาพการเมือง เสถียรภาพรัฐบาล ทำให้กลไกของสภา และการเมืองไม่เข้มแข็ง ทำให้การทำงานและการแก้ไขปัญหา ประเทศลำบาก ประชาชนฝากความหวังกับการแก้ไขปัญหา วิกฤตต่างๆ กับการเมืองหลังการเลือกตั้งมาก ๆ

 

"สุวัจน์"นั่งประธานชพน."Come Back"โคราชชู 7 นโยบายแก้วิกฤตประเทศ

 

ฉะนั้น เลือกตั้งครั้งหน้า พรรคการเมืองต้องช่วยกันเสริมสร้างให้ มีเสถียรภาพทางการเมืองเกิดขึ้น ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้ง ที่ประชาชนตัดสินมาแล้ว จัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพเพียงพอที่ จะทำงานให้ลุล่วง การเมืองต้องมีคุณภาพทั้งด้านนโยบายและ บุคลากร ต้องช่วยกันคิดนโยบายดี ๆที่มาแก้ไขปัญหาประเทศ และเตรียมนักการเมืองคุณภาพเข้ามาช่วยกันท้างาน การเมือง ต้อง พร้อมที่จะเสียสละ ช่วยกันลดความขัดแย้ง เพื่อให้เป็น ทางออกการเมืองไม่ถึงทางตัน เพื่อเดินหน้าประเทศต่อไปให้ได้

 

นายสุวัจน์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนามีความตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยกันทำงานในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ประชาชน จากประสบการณ์และบุคลากรของพรรคที่เคยทำมาแล้ว โดยเฉพาะ ด้านเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีต ส.ส.โคราช เป็นนายกรัฐมนตรี "เศรษฐกิจยุคทอง แปรสนามรบเป็นสนามการค้า โคราชประตูสู่อีสาน อีสานประตูสู่อินโดจีน" พร้อมที่จะทำงานและเชื่อมั่นว่าทำได้ เคยทำมาแล้ว จะทำต่อไปเพื่อประชาชนชาวไทย ขอให้ไว้วางใจพรรคชาติพัฒนา

 

"พรรคชาติพัฒนา เกิดที่โคราช ถึงมีคำว่าโคราชชาติพัฒนา มี คำว่าตนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน เกิดที่โคราชก็ต้องตายที่โคราช พรรคชาติพัฒนาขอยึดเอาโคราชไว้เป็นเรือนตาย ขอ Come back อีกครั้งเพื่อรับใช้ชาวโคราช" ประธานพรรค กล่าว

 

 

logoline