svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"ทวี สอดส่อง"เปรียบดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเสมือนมะเร็งร้าย

17 เมษายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"ทวี สอดส่อง"อัดรัฐกูหนี้ใหม่ใช้หนี้ของเก่า หวั่นทำประเทศเสี่ยงสูงฉุดทำเศรษฐกิจตกต่ำ จนมองไม่เห็นอนาคตที่ดีของประชาชนชาวไทย

17 เมษายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิกพรรคประชาชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาว่า

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ชี้แจงดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยของรัฐบาลร้อยละ 2.42 และดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 2.48 (รูปที่ 1-4) และจากรายงานหนี้สาธารณะของไทยสิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2565 หนี้สาธารณะของไทยมีจำนวน 9,828,268.17 ล้านบาท สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เท่ากับร้อยละ 60.17 แยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้ จำนวน 8,720,929.74 ล้านบาท ต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.42 ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 211,046.48 ล้านบาทเศษต่อปี และหนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 843,328.46 ล้านบาท ต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.48 ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 20,914.53 ล้านบาทเศษต่อปี

 

"ทวี สอดส่อง"เปรียบดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเสมือนมะเร็งร้าย

 

จำนวนหนี้สาธารณะปัจจุบัน 9,828,268 ล้านบาทเศษนั้น เป็นภาระของประเทศและประชาชนต้องเสียดอกเบี้ยทุกช่วงเวลา เฉลี่ยประมาณ 231,961 ล้านบาทเศษ/ปี หรือ 19,330 ล้านบาทเศษ/เดือน หรือ 635.5ล้านบาทเศษ/วัน หรือ 26.47 ล้านบาทเศษ/ชั่วโมง ซึ่งเมื่อรวมเงินต้นที่ครบกำหนดชำระคืนเจ้าหนี้พร้อมดอกเบี้ยแล้ว รัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินมาชำระหนี้คืนได้ เพราะงบประมาณบริหารราชการแผ่นดินที่มี "รายจ่ายประจำ" มากกว่า 2.1 ล้านล้านบาทต่อปี (งบประมาณปี 2566 เป็นรายจ่ายประจำมากถึง 2,396,942.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.26 ของวงเงินงบประมาณ)

แนวทางการชำระหนี้เงินกู้ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนจึงไม่มีนอกเสียจากการ "กู้หนี้ก้อนใหม่มาจ่ายคืนหนี้เงินกู้ก้อนเก่า" หรือเรียกว่า "เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ" ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เกิดการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ เป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขในการจ่ายหนี้ของรัฐ เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระ หรือชำระล่าช้า ซึ่งจะทำให้รัฐถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นจากหนี้ปกติจึงยืดหนี้ หรือปรับอัตราดอกเบี้ยส่วนภาระดอกเบี้ยยังวิ่งไม่หยุด (รูปที่ 5)

 

"ทวี สอดส่อง"เปรียบดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเสมือนมะเร็งร้าย

 

ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกและในประเทศไทยกำลังส่งผลให้มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลต่างประเทศให้สูงขึ้น นักลงทุนจึงอาจย้ายเงินลงทุนออกจากประเทศไทยเพื่อไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า รัฐบาลไทยจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยแข่งขัน ดังนั้น ภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของไทยก็จะถูกปรับสูงขึ้นอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่รัฐบาลยังคงอัตราดอกเบี้ยราคาถูกเพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้ทั้งตนเอง และเอกชนรายใหญ่ แต่ประชาชนทั่วไปยังลำบากเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยรายย่อยยังคงสูงอยู่มาก

 

การกู้หนี้ของรัฐบาลปัจจุบันยังมีความจำเป็นต้องกู้เพราะรัฐบาลไม่สามารถหารายได้ใม่พอรายจ่ายของรัฐ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยเติมโตช้ามาก รวมทั้งมีความจำเป็นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความยากไร้คุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ามาตราฐาน ช่วยเหลือด้านสวัสดิการพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลตั้งงบประมาณแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจำเป็นต้องมีการกู้เงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณอยู่ทุกปีๆ ละหลายแสนล้านบาท

 

"ทวี สอดส่อง"เปรียบดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเสมือนมะเร็งร้าย

โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2565 สูงถึง 675,000-700,000 ล้านบาท และยิ่งต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลทำให้ฐานะทางการเงินของรัฐบาลเข้าสู่ภาวะเปราะบางทางการเงิน คือมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงขึ้นจากร้อยละ 43 ในปี 2557 จนเกินร้อยละ 60 ในปี 2565 ทำให้ในเดือนกันยายน 2564 รัฐบาลต้องขยายเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 เป็นไม่เกินร้อยละ 70 แต่จากการศึกษาของต่างประเทศโดย IMF ให้คำแนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรมีสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60 เพราะถ้าเกินระดับนี้ไปแล้ว อาจมีภาระหนี้มากเกินไปที่บั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และอาจกระทบกับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลว่าก่อหนี้เกินตัวหรือไม่ นักลงทุนต่างประเทศอาจมองว่า มีความเสี่ยงมากเกินไป ฐานะทางการคลังไม่ดี เศรษฐกิจอาจไม่มีเสถียรภาพ

 

"ทวี สอดส่อง"เปรียบดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเสมือนมะเร็งร้าย

 

หนี้ของรัฐแทบทั้งหมดจะกู้เงินในประเทศ (รูปที่ 6) โดยผ่านเครื่องมือต่างๆ สามารถจำแนกฐานนักลงทุน ได้แก่

 

1.) เครื่องมือพันธบัตรรัฐบาล และ ตั๋วเงินคงคลัง ประมาณร้อยละ 79 ที่เป็นการกู้จากนักลงทุนสถาบันผ่านตลาดตราสารหนี้ประกอบด้วย กองทุนรวม สถาบันการเงิน บริษัทประกันชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักประกันสังคม และนักลงทุนต่างประเทศ

 

2.) เครื่องมือตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญากู้ยืมเงิน ประมาณร้อยละ 15 ที่เป็นการกู้เงินโดยตรงจากสถาบันการเงิน ได้แก่ธนาคารของรัฐกับธนาคารพาณิชย์

 

"ทวี สอดส่อง"เปรียบดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเสมือนมะเร็งร้าย

 

3.) เครื่องมือพันธบัตรออมทรัพย์ ประมาณร้อยละ 6 ที่เป็นการกู้เงินที่ระดมทุนจากภาคประชาชนเพื่อกระจายฐานนักลงทุนและกระทรวงการคลังควรส่งเสริมการออมของภาคประชาชน เพราะดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลจะสูงกว่าดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ทั่วไป

 

จะเห็นว่านักลงทุนตามกลุ่มที่ 1) และกลุ่มที่ 2) ที่ให้จำนวนหนี้รัฐรวมกันมากถึงร้อยละ 94 นั้นแทบ ทั้งหมดเป็นกลุ่มธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลางใช้เงินฝากประชาชนที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 25-50 สตางค์ หรือร้อยละ 0.25-0.50 เอาไปให้รัฐกู้ดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.42-2.48 จะมีส่วนต่างกำไรค่อนข้างสูง มีความปลอดภัย ต้นทุนดูแลต่ำ สถาบันการเงินจึงเป็น "เสือนอนกิน" ดีกว่าให้ SME หรือประชาชนกู้ ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

 

ยิ่งเมื่อรัฐบาลกู้เงินเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นการช่วยคนรวยที่ร่ำรวยอยู่แล้วให้มั่งคั่งมากขึ้น เป็นการแย่งเงินทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะประชาชนและ SME ที่กำลังประสบปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน สถาบันการเงินไม่ให้กู้เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง รวมทั้งการกู้เงินภาครัฐดังกล่าว ตามสัดส่วนการกู้เงินของรัฐบาลผ่านการออกพันธบัตรในประเทศ (รูปที่ 7) อาจสร้างปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงินในอนาคต

 

"ทวี สอดส่อง"เปรียบดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเสมือนมะเร็งร้าย

 

การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐ ที่น่าห่วงคือในแต่ละปีงบประมาณจะใช้จ่ายเงินลงทุนล่าช้าข้ามปีงบประมาณ ไม่โปร่งใส ขาดประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่า และไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตของ GDP ทำให้ประชาชนเสียโอกาส ขณะเดียวกันต้องมีภาระดอกเบี้ยที่เดินหน้าไม่หยุด จากข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) พบว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 พบว่าผลการเบิกจ่ายงบประมาณ จากระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) กรมบัญชีกลาง งบประมาณจำนวน 3,285,962 ล้านบาทเศษ มีการเบิกจำนวน 3,012,156 ล้านบาทเศษ หรือคิดเป็นร้อยละ 91.67 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายภาพรวม ร้อยละ 8.33 หรือมีงบประมาณคงเหลือจำนวน 273,806 แสนล้านบาทเศษ

 

ความล่าช้าของการใช้งบประมาณไม่ทัน แต่ "ดอกเบี้ย" ยังเดินไม่หยุด เปรียบเสมือนมะเร็งร้ายทางการเงินที่แพร่เชื้อลุกลามเข้าสู่ปวงชนที่ยากต่อการรักษา และเป็นภาระของคนในอนาคตต้องใช้หนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่ม ที่รัฐบาลต้องจ่ายหนี้เป็นค่าดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นที่กู้มา ตัวอย่าง งบประมาณรายจ่ายปี 2565 การชำระหนี้ภาครัฐรวมจำนวน 363,269 ล้านบาท ใช้หนี้เงินต้นเพียง 100,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่เป็นดอกเบี้ยมากถึง 263,269 ล้านบาท

 

"ทวี สอดส่อง"เปรียบดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเสมือนมะเร็งร้าย

 

รัฐบาลอยู่ในวังวน "กู้หนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า" (ใช้ดอกเบี้ย) ที่แทบมองไม่เห็นอนาคตว่าเมื่อไรจะใช้หนี้หมด และล่าสุดจากรายงานการเงินแผ่นดิน ที่รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 (รูปที่ 8) ที่การเงินแผ่นดินรัฐบาลมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายที่เป็นสัญญาณว่า รัฐบาลไทยเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะการล้มละลาย จึงเป็นห่วงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่แทบมองไม่เห็นอนาคตที่ดีของประชาชนชาวไทยเลย

logoline