9 เมษายน 2565 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธฺ จันทร์โอชา เป็นประธาน มีความห่วงใยเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในกลุ่มเสี่ยง เพราะผู้ที่มีอายุ 60 ปี โดยเข็ม 3 ฉีดไปประมาณ 37% ซึ่งโอมิครอนต้องฉีด 3 เข็ม จึงยังมีอีกกว่า 60% ยังไม่ได้ฉีด ขณะที่เด็กเข็ม 2 ฉีดไป 1.9%
“ หลายๆคนกลัววัคซีน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งกองระบาดวิทยาแสดงข้อมูลว่า ฉีดไปแล้วทั้งหมดกว่า 130 ล้านโดส โดยอาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนจำนวน 123 ราย คิดเป็น 0.9 รายต่อล้านโดส ส่วนเหตุการณ์เสียชีวิตที่สรุปว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนมี 6 ราย หรือ 0.04 รายต่อล้านโดส ซึ่งตัวเลขตรงนี้จะทำให้เข้าใจข้อมูลมากขึ้น ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับข้อสรุปการฉีดวัคซีนขอย้ำ ว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้เว้นห่าง 3 เดือนขึ้นไป ส่วนเข็ม 4 ให้ห่างจากเข็ม 3 ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป ส่วนไฟเซอร์ฉีดครึ่งโดสได้ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์และความสมัครใจของผู้รับวัคซีน ส่วนคนติดเชื้อมาก่อน หากพ้นไป 3 เดือนไปรับวัคซีนได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนการจัดหา Long-acting antibody (LAAB) สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูงที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ในกลุ่มเสี่ยงสูงที่ไม่สามารถกระตุ้นภูมิฯด้วยวัคซีน เช่น คนมีโรคประจำตัว คนมีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยให้ก่อนการสัมผัสโรค ให้ฉีดเข้ากล้ามทุก 6 เดือน สามารถป้องกันโควิดได้ 6-12 เดือนต่อการให้ 1 ครั้ง
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ได้หารือกับอัยการสูงสุด แนะนำให้ปรับสัญญากับบริษัท แอสต้าเซนเนก้า โดยเปลี่ยนจากวัคซีนแอสตร้าฯบางส่วน ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินเดิมที่ครม.อนุมัติแล้ว ไม่ต้องเสียงบประมาณเพิ่ม ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องดี และมีข้อมูลมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ประชุมจึงเห็นชอบในหลักการและให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไป