หลังจากสร้างเสียงฮือฮาในสังคมกรณี "นายสิระ เจนจาคะ" อดีตส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ได้พา “กระติก อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์” เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีการเสียชีวิตของ "แตงโม นิดา" กับพนักงานสอบสวนสภ.เมืองนนทบุรี ในข้อหา “ให้การเท็จ ม.172” พร้อมออกมาเปิดเผยว่าได้สารภาพความจริงไปแล้ว
ล่าสุด (5 เม.ย.65) นายสิระ เจนจาคะ อดีตส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึงจุดเริ่มต้นและการที่ตัดสินใจพากระติกเข้าไปพบเจ้าหน้าที่ตรวจเพื่อสารภาพเรื่องให้การเท็จ ว่า พ่อของกระติดเป้นผู้ประสานติดต่อเข้ามาก่อน โดยเหตุผลที่พ่อกระติกเลือกมาปรึกษาตนเอง เพราะได้ติดตามข่าวที่ตนเองพานายวินิต ตรีปัญญา หรือลุงนิด คนหาปลา แจ้งความเอาผิดนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่นำมาเผยแพร่อ้างว่า เป็นภาพหลักฐานวงจรปิดพบวัตถุปริศนาอ้างว่าเป็น “แตงโม” แต่คนหาปลากลับไม่เข้าไปช่วยเหลือ
โดยยืนยันว่าตนเองไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ทั้งนี้ยอมรับว่ามีผู้ใหญ่เตือนว่าสังคมหรือโลกโซเชียลน่ากลัวนะ ถ้าจะไปเกี่ยวข้องกับกระติก แต่ส่วนตัวเชื่อการการให้ความยุติธรรมและการเป็นที่ปรึกษากฎหมายก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร พอได้คุยกันแล้วก็รู้สึกว่ากระติกต้องการบอกทุกอย่างให้กับตำรวจเป็นเรื่องที่ดีเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นประโยชน์ต่อแตงโม จึงตัดสินใจเข้าไปช่วย
ส่วนเรื่องที่กระติกให้การเท็จจะเป็นเรื่องไวน์อย่างเดียวหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องอะไรบ้าง แต่อย่างน้อยได้พูดความจริงทั้งหมด และมั่นใจว่าการให้การครั้งนี้มีผลที่เกิดประโยชน์ต่อรูปคดี เพราะทั้ง 5 ให้การไม่มีขัดแย้งกันเลย แต่ขณะนี้มีกระติกที่แตกต่างออกไป
นายสิระ เปิดเผยด้วยว่า สำหรับสภาพจิตใจของกระติกในตอนนี้ เข้มแข็งมาก พ่อสอนให้ลูกเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้ ห้ามอ่อนแอให้เห็น
ส่วนเรื่องที่สังคมตั้งคำถามว่าการเข้ามาครั้งนี้เป็นเพราะ “หิวแสง” หรือไม่ นายสิระบุว่า ตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากพ่อกระติกตนเองยังอยู่จังหวัดน่าน จึงถามกลับว่าการเข้ามาครั้งนี้เกิดประโยชน์กับสังคม ประชาชน และแตงโมหรือไม่ ไม่ใช่ว่าใครเข้ามาคือหิวแสง แต่ต้องไปว่าคนที่เข้ามาโดยที่ไม่เกี่ยวข้องเลย ไม่ได้ขอร้องให้มา ไม่ได้อยู่บนที่เกิดเหตุแต่เล่าเป็นตุเป็นตะอ้างว่ามีเสี่ยรอ ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มี
นายสิระ กล่าวอีกว่า มีบางคนทำรายได้จากกระติกมหาศาล เพื่อนกันเองแท้ ๆ ตอนนี้ขับรถปอเช่แล้ว เพราะการด่ากระติกให้คนเกลียดชัง แล้วตัวเองได้งาน ได้ประโยชน์ ซึ่งมีอยู่หลายคนได้ประโยชน์จากการที่ทำให้สังคมประชาขนเกลียดชังกระติกแล้วมีคนติดตาม
ส่วนจะฟ้องหรือไม่ ขอถามกลับว่าคนเหล่านี้เอาไว้ได้หรือไม่ ขณะที่กระติก ขณะนี้ยังไม่ได้มีการยืนยันว่าจะฟ้อง แต่ได้มีการปรึกษา ว่าโดนละเมิด มีคนกระทำและผู้นั้นได้ประโยชน์ทางด้าน ธุรกิจชื่อเสียง จึงต้องการขอทวงคืนศักดิ์ศรี อย่าบอกว่าเป็นการจองเวรจองกรรม ซึ่งกระติกเคยปรึกษาทนายที่อื่นมาแล้วแต่ส่วนตัวไม่ทราบว่าใช่ “แอนนา” ตามกระแสข่าวหรือไม่ แต่ยอมรับว่ามีหลายคนแต่ไม่ทราบว่าใครบ้าง
ส่วนกรณีที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่าการสารภาพครั้งนี้ตำรวจแนะนำเพื่อที่จะได้ลดโทษให้น้อยลง นายสิระ ระบุว่า ทุกอย่างเป็นไปตามความผิด ทุกอย่างต้องผ่านอัยการไม่ใช่ตำรวจจะทำแล้วส่งฟ้องศาลได้เลย
นายสิระยังตอบคำถามที่ว่าการออกมาครั้งนี้เป็นการ “เล่นละคร” หรือไม่ ว่าเรื่องนี้มีคุกตารางมาเสี่ยง ถามกลับคนที่พูดกล้าหรือไม่ มีปากก็พูดแต่สิ่งที่เสียหาย ขอให้ดูประโยชน์ พูดความจริงเป็นผลดี จะมาดราม่าว่าเล่นละครอีก กล้าเดินเข้าคุกหรือไม่ ขอให้ดูประโยชน์ด้วย”
สุดท้ายแล้วมองว่าจุดจบของเรื่องนี้คือความจริงต้องปรากฏ แตงโมต้องได้ความยุติธรรม คดีนี้ต้องเป็นที่กระจ่างต่อสังคม ส่วนทนายเอ็ม ตนเองไม่ยืนยันมีนักฎหมายให้คำปรึกษาแก๊งบนเรือทำให้หลงทาง ฝากถึง 4 คนหากคิดว่าเดินต่อไปจะตกเหวเดินทางเข้าคุกยังกลับมาทันคือให้การความเป็นจริง แต่ส่วนตัวมองว่าคนที่ให้คำแนะนำซึ่งมีข้อมูลว่ามีถึง 4 คน จะต้องได้รับโทษเพราะมีความผิดทางกฎหมายและขอให้จับตาอาจมีคนโดนหมายจับเพิ่ม เพราะคดีนี้มีเรื่องให้ได้ทำอีกเยอะ