a catastrophe on top of a catastrophe หายนะบนหายนะ นี่เป็นคำเตือนของเดวิด เบียสลีย์ ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติหรือ WFP ที่พูดด้วยความหนักใจสุดๆถึงภาระในการเลี้ยงดูคนถึง 125 ล้านคนก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนเสียอีกเพราะโครงการอาหารโลกได้เริ่มตัดลดส่วนแบ่งอาหารอันเนื่องจากราคาอาหาร น้ำมันและค่าขนส่งที่สูงขึ้นมากภาระที่โครงการอาหารโลกแบบรับอยู่ในขณะนี้ก็อย่างเช่นการดูแลชาวเยเมนที่ต้องลี้ภัยเพราะสงครามกลางเมืองประมาณ 8 ล้านคน ต้องลดส่วนแบ่งอาหารไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์และต่อไปนี้อาจไม่เหลือส่วนแบ่งเลย รวมถึงชาวไนเจอร์ มาลีและชาด ซึ่งในแต่ละปีโครงการอาหารโลกต้องซื้อธัญพืชจากยูเครนถึงครึ่งหนึ่ง
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจึงสร้างผลกระทบต่อโลกรุนแรงกว่าที่คิดนับต้ั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุก็เพราะยูเครนที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลกในด้านธัญพืชกำลังย่อยยับ ส่งผลกระทบไปหลายประเทศทั้ง
ในแอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลางและบางส่วนของเอเชีย อย่างเช่นอียิปต์ที่ต้องพึ่งพาธัญพืชจากยูเครนถึง
85 เปอร์เซ็นต์ และเลบานอน 81 เปอร์เซ็นต์ อินโดนีเซียก็นำเข้าจำนวนมากเช่นกัน ทั้งยูเครนและรัสเซียผลิตข้าวสาลีป้อนให้ทั้งโลกรวมกันถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ข้าวโพด 20 เปอร์เซ็นต์และน้ำมันดอกทานตะวัน 75-80 เปอร์เซ็นต์
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐระบุว่าในฤดูการผลิตปี 2021/22 ประเมินว่ายูเครนผลิตข้าวโพดได้ 42 ล้านตัน ตั้งเป้าส่งออก 33.5 ล้านตัน ถือเป็นอันดับ 4 และ 17 เปอร์เซ็นต์ของโลกผลิตข้าวสาลี 33 ล้านตัน ส่งออก 24 ล้านตัน อันดับ 3 และ 12 เปอร์เซ็นต์ของโลก เมล็ดทานตะวัน 17.5 ล้านตันหรือ 30 เปอร์เซ็นต์ของโลก
ส่วนรัสเซีย ข้าวโพด 15 ล้านตัน ส่งออก 4.5 ล้านตัน ข้าวสาลี 75.5 ล้านตัน ส่งออก 35 ล้านตัน รายใหญ่ที่สุดและ 17 เปอร์เซ็นต์ของโลก เมล็ดทานตะวันอันดับ 2 และ 27 เปอร์เซ็นต์ของโลก ประเมินว่าขณะนี้ทั้งรัสเซียและยูเครนมีข้าวสาลีสำรองอยู่รวมแล้วประมาณ 270 ล้านตัน อย่างไรก็ตามครึ่งหนึ่งอยู่ในมือของจีนซึ่งต้องเลี้ยงดูประชากรถึง 1,400 ล้านคน
จอยซ์ เอ็มซูยา ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านมนุษยธรรมบอกว่าสงครามทำให้ขณะนี้มีผู้ลี้ภัยชาวยูเครนกว่า 10 ล้านคนแล้วในจำนวนนี้เป็นเด็กกว่าครึ่งหนึ่ง ผลกระทบของสงครามกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และทำให้เกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของโลก สต็อคธัญพืชอย่างข้าวสาลีและข้าวโพดกำลังลดลงและหายาก หลายประเทศเผชิญวิกฤตด้านอาหารและความเปราะบางทางเศรษฐกิจอยู่แล้วเช่นใน อัฟกานิสถาน เยเมนและประเทศในแอฟริกา ราคาอาหาร เชื้อเพลิงและปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นกระทบต่อฤดูกาลเพาะปลูกที่กำลังจะเริ่มขึ้นโดยเฉพาะในยูเครน
สหรัฐโทษรัสเซียในเรื่องนี้เพราะปิดกั้นเส้นทางมุ่งสู่เมืองท่าของยูเครน ทำให้เรือไม่สามารถออกสู่ทะเลเมดิ
เตอเรเนียน ส่งอาหารให้โลกได้ แต่ฝ่ายรัสเซียก็โต้ว่าได้เปิดเส้นทางมนุษยธรรมความยาว 80 ไมล์ทะเลและ
3 ช่องจราจรให้กับเรือพาณิชย์แล้ว
ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รัสเซียแต่เป็นเพราะความกระหายของชาติตะวันตกที่จะคว่ำบาตรรัสเซียโดยไม่ได้พิจารณาความเดือดร้อนของชาวโลกและประชาชนของตัวเอง ที่สำคัญการผลิตและสต็อกธัญพืชในรัสเซียก็ไม่ได้ลดลง มันขึ้นอยู่กับชาติตะวันตกเองที่จะต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดความขาดแคลนและหิวโหย
ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าแม้รัสเซียจะเปิดทางให้เรือออกได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ไม่มีบริษัทประกันภัยรายไหนที่กล้าจะประกันภัยให้กับเรือสินค้า หรือมีก็ต้องเก็บค่ากรมธรรม์สูงขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้บริษัทด้านโลจิสติกส์ลังเลที่จะรับคำสั่งซื้อ ไม่ใช่แค่ทางเรือเท่านั้นแต่รวมถึงทางบกและทางรถไฟด้วย
วิกฤตยูเครนกำลังส่งผลกระทบต่อระบบซัพพลายเชนของโลกอย่างมาก ธนาคารของรัสเซียถูกถอดออกจาก SWIFTซึ่งเป็นระบบการทำธุรกรรมทางการเงินที่ทั่วโลกใช้กัน ส่งผลให้การจ่ายเงินค่าธัญพืชและสินค้าอื่นๆของรัสเซียเป็นไปไม่ได้ด้วย
รัสเซียในฐานะหนึ่งในผู้ส่งออกปุ๋ยรายใหญ่ที่สุดของโลกยังตัดสินใจหยุดการส่งออกปุ๋ยไว้ชั่วคราวเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาปุ๋ยภายในประเทศไว้แต่กระทบกับตลาดต่างประเทศอย่างในแอฟริกาบางประเทศที่ต้องพึงพาปุ๋ยจากรัสเซียเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ทำให้ยังไม่สามารถหาสิ่งทดแทนได้และตลาดปุ๋ยก็ยังไม่สามารถเติมเต็มได้ในระยะเวลาอันสั้นซึ่งจะทำให้สถานการณ์ตลาดธัญพืชโลกแย่ลงและปุ๋ยแพงขึ้นด้วย
นี่เป็นแค่ตัวอย่างของผลกระทบที่ใกล้ตัวคนทั่วโลกและใกล้ตัวคนไทยมากกว่าที่เราคิด แต่ในวิกฤตก็มีโอกาสเสมอ