ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนเบลเยียมกับโปแลนด์ สัปดาห์นี้ เพื่อกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรตะวันตก โดยเขาจะเดินทางถึงกรุงบรัสเซลส์คืนนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ตามด้วยโปแลนด์ ที่เป็นศูนย์รองรับผู้ลี้ภัยสงครามราว 300,000 คนจากยูเครน และเขาอาจจะเยือนค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ด้วยตนเอง เพื่อรับประกันความช่วยเหลือที่สหรัฐฯ มีให้โปแลนด์ที่ต้องแบกรับวิกฤตผู้ลี้ภัยอันเนื่องมาจากสงครามที่ยูเครน
การเยือนยุโรปของไบเดน เกิดขึ้นตามหลังการกล่าวหาประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียว่า กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ "หลังพิงฝา" เพราะการบุกยูเครนไม่เป็นไปตามแผน ทั้งยังสูญเสียบุคลากรทางทหารและยุทโธปกรณ์ไปเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาอาจหันไปใช้อาวุธที่ร้ายแรงและไร้มนุษยธรรมยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือ ระเบิดฟอสฟอรัสขาว (white phosphorus) หรือ WP และการที่ทำเนียบเครมลินโฆษณาชวนเชื่อเมื่อไม่นานมานี้ว่า สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนยูเครนในการพัฒนาอาวุธเคมีและชีวภาพ ยิ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัสเซียกำลังเตรียมจะใช้อาวุธทั้งสองแบบกับยูเครน ขณะที่ยูเครนได้สนับสนุนข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ด้วยการบอกว่า รัสเซียใช้ระเบิดฟอสฟอรัสขาวแล้วที่ครามาทอร์สก์
ฟอสฟอรัสขาว เป็นสารไวไฟที่ถูกค้นพบนานกว่า 200 ปี มีคุณสมบัติที่ไวไฟ เพียงเสียดสีเบาๆ ก็ลุกไหม้ได้ ถูกใช้เป็นอาวุธในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเป็นส่วนประกอบของลูกปืนใหญ่ของกองทัพอังกฤษ ก่อนถูกพัฒนาเป็นส่วนผสมหลักของระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นที่มาของชื่่อ "ระเบิดฟอสฟอรัส"
กฎหมายระหว่างระหว่างประเทศ, พิธีสาร หรืออนุสัญญาต่างๆ ที่พูดถึงการห้ามใช้อาวุธเคมี กลับไม่มีการระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้ฟอสฟอรัสขาว แต่การที่มันมีฤทธิ์ทำให้เกิดการเผาไหม้รุนแรงและก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บที่น่ากลัว ทำให้การนำมาใช้กับพลเรือน เข้าข่ายเป็นอาชญากรรมสงคราม และกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน "Human Rights Watch" ระบุว่า "ฟอสฟอรัสขาวเป็นหนึ่งในอาวุธที่โหดร้ายที่สุด ในสงครามสมัยใหม่ เพราะทำให้มนุษย์ต้องทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต"
ความน่ากลัวของระเบิดฟอสฟอรัสขาว อยู่ที่พลังในการทำลาย ที่ไม่ได้ใช้แรงอัดเป็นตัวสร้างความเสียหาย แต่ใช้คุณสมบัติของการติดไฟที่ไม่ดับลงง่ายๆ ในการสร้างความเสียหาย เมื่อถูกทิ้งลงจากเครื่องบินก็จะเหมือนกับกลุ่มลูกไฟที่ตกลงสู่พื้น ควันของมันจะทำให้ผู้ที่ถูกสูดดมเข้าไป เกิดการระคายเคืองที่ระบบทางเดินหายใจ และถ้าสัมผัสลงบนร่างกายของมนุษย์ ฟอสฟอรัสก็จะลุกไหม้ไปเรื่อยๆ จนถึงกระดูก ผู้เสียชีวิตจากระเบิดชนิดนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดอากาศหายใจและความเจ็บปวดจากแผลที่เกิดการไหม้ของฟอสฟอรัสขาว ซึ่งจะใช้เวลานาน ทำให้หลายประเทศมองว่า ระเบิดชนิดนี้เป็นอาวุธที่ "ไร้มนุษยธรรม" ซึ่งหลังสงครามเวียดนาม ได้มีการลงนามห้ามใช้ระเบิดฟอสฟอรัสขาวโจมตีพลเรือน เพราะมีความน่ากลัวในระดับเดียวกับระเบิดนาปาล์ม
หนังสือพิมพ์ The Washington Post เคยรายงานว่า สหรัฐฯใช้ฟอสฟอรัสขาวในอิรัก โดยแสดงภาพลูกกระสุนปืนใหญ่ M825A1 ขนาด 155 mm โดยเป็นภาพที่เอามาจาก Dvids เว็บไซต์ด้านกิจการต่างประเทศของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นหน่วยทหารปืนใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังยิงลูกระสุนปืนฟอสฟอรัสขาวในอิรัก แต่ตอนนั้นสหรัฐฯ แย้งว่า การใช้อาวุธชนิดนี้มีความเหมาะสม เพราะเครื่องกระสุนไม่ได้ถูกหย่อนลงจากทางอากาศ และเหมาะสมอย่างยิ่งใช้ในการสร้างม่านควัน (smokescreen) ได้นานถึง 10 นาที เพื่อ "อำพราง" (obscure) ทัศนวิสัยให้กับกองกำลังชาวเคิร์ดจากพวกผู้ก่อการร้ายดาอิช หรือ ที่ตะวันตกเรียกว่า "ไอเอส" นั่นเอง