แผนการบุกที่สื่อตะวันตกตั้งชื่อว่า "The race to Kiev" ที่เสนอโดยบรรดาผู้บัญชาการทหารรัสเซีย แสดงให้เห็นว่า ทหารรัสเซีย 130,000 นาย จะโค่นรัฐบาลยูเครนได้ด้วยการบุกแบบหลายแกน (multi-axis) โดยบุกจากเบลารุสกับไครเมียก่อนไปบรรจบกันในพื้นที่ทางตะวันออกของกรุงเคียฟ เพื่อโค่นอำนาจรัฐบาลยูเครนและตั้งฝ่ายที่สนับสนุนรัสเซียขึ้นมาบริหารประเทศ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นการวางแนวป้องกันไม่ให้กองกำลังยูเครนที่อยู่ทางตะวันออก เข้าไปปกป้องเมืองหลวงได้
การเคลื่อนที่เร็วก็มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ในครั้งนี้ ยานพาหนะและระบบอาวุธที่เบากว่าจึงถูกเลือกใช้ในการโจมตีทางภาคพื้นดิน เจ้าหน้าที่ตะวันตกคนหนึ่งระบุว่าการสั่งสมทหารและยุทโธปกรณ์เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและน่าตกใจมาก นี่เป็นกองกำลังที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการบุก คาดว่ายังมีทหารอีก 14 กองพัน ที่กำลังมุ่งหน้าสู่พรมแดนยูเครน โดยไม่รวมทหาร 2,000 นาย ที่เพิ่งเข้ามาเพิ่ม
แหล่งข่าวหลายกระแสระบุว่า แผนบุกจะถูกเสนอต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่จะหารือกับนายเซอร์เกย์ ไชกู รัฐมนตรีกลาโหม และนายอเล็กซานเดอร์ บอร์ตนิคอฟ ผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงกลาง (FSB) ก่อนตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะบุกหรือไม่
การเคลื่อนไหวล่าสุดพบว่าการส่งกำลังบำรุงพร้อม, การตรวจเช็คทางการแพทย์พร้อม เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทางทะเลและทางอากาศ กองเรือของรัสเซียกระจายกันอยู่ทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก ทะเลดำ เและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทหารหลายหน่วยถูกสั่งยกเลิกวันหยุด หรือเท่ากับว่าหน่วยรบ 60% ของรัสเซีย ถูกส่งเข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ ทั้งยังปรับการบุกให้มีศักยภาพมากขึ้นด้วยยุทธวิธีสลับตำแหน่ง เพื่อให้สามารถเข้าสู่กรุงเคียฟโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะที่หน่วยอื่น ๆ ก็ต้องรีบเข้าไปในพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน เพื่อขัดขวางไม่ให้ทหารยูเครนกลับเข้าไปรักษาเมืองหลวงได้ทัน
สถานการณ์ปัจจุบันของกรุงเคียฟได้รับการอารักขาอย่างเบาบาง เพราะทหารยูเครนส่วนใหญ่ถูกส่งไปประจำการที่ภาคตะวันออก เพื่อต่อสู้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวรัสเซียมาตั้งแต่ปี 2557 เมืองหลวงแห่งนี้ยังอยู่ห่างจากชายแดนทางใต้ของเบลารุสแค่ 105 ไมล์ ซึ่งถ้ารถถังรัสเซียใช้ถนนทางหลวง E95 ก็จะเข้าสู่กรุงเคียฟได้ในเวลาเพียง 6 ชั่วโมง แหล่งข่าวระบุว่าเมื่อเข้ากรุงเคียฟได้แล้ว รัสเซียน่าจะไม่อยากส่งทหารเข้าสู่สถานการณ์ที่จะนำไปสู่การปะทะตามท้องถนน เพราะการสู้รบระยะประชิดอาจนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากของทั้งทหารและพลเรือน โดยน่าจะหวังโค่นรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย แบบไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อโดยที่ประชาชนไม่ขัดขืนมากนัก ซึ่งนี่อาจเป็นการประเมินต่ำไปสำหรับความมุ่งมั่นของชาวยูเครนที่จะต่อสู้เพื่อประเทศของพวกเขา ที่อย่างไรเสียก็ต้องนำไปสู่การนองเลือด
สื่อที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลรัสเซีย ได้ประโคมข่าวว่าเรื่องนี้เป็นความผิดพลาดขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต ขณะที่ชาวรัสเซียมองว่าชาวยูเครนก็เหมือนพวกเขา หลายคนมีญาติเป็นชาวยูเครน แต่พวกเขาไม่ได้รับรู้อะไรมากนักหรือแม้แต่คัดค้านสงคราม เพราะสื่อถูกปิดกั้นนั่นเอง