โดดเดี่ยว “ลุงตู่”
“…ทุกคนอยากจะเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าอยากเลือกตั้งก็ต้องทำให้กฎหมายลูกเสร็จ โดยสภาต้องไม่ล่ม ยืนยันว่ากฎหมายสำคัญที่รัฐบาลออกไปทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสิ้นและต้องผ่านให้ได้ ถ้าทุกอย่างรวนไปหมดก็จะแก้อะไรไม่ได้และกลับไปสู่ที่เดิม…” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 3 ก.พ.65
.
เป็นเพียงบางห้วงบางตอนที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับพายุการเมืองที่กำลังกลับมาโหมซัดรัฐบาลลุงตู่ อีกระลอกภายหลังพรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมกทม.เขต 9 หลักสี่ อย่างย่อยยับ
เป็นการตอบคำถามสื่อที่กินเวลานานกว่า 25 นาที ซึ่งล้วนมีเนื้อหาสะท้อนความเป็นไปของเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ที่มีพล.อ.ประยุทธ์นั่งอยู่ กำลังสั่นคลอนพร้อมหักโค่นลงมาในระยะเวลาอันใกล้นี้ หรือจะอดทนซ่อมแซมขาเก้าอี้ให้ฝ่าลมมรสุมลากไปจนประกาศยุบสภาตามวาระ
.
โดยเฉพาะกับคำกล่าวของพล.อ.ประยุทธ์ ที่เนชั่นออนไลน์ คัดลอกมานำเสนอข้างต้น ชี้ให้เห็นถึงความต้องการของคนชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ว่า สถานการณ์จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ก็ขึ้นอยู่ในกำมือของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากทุกพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะเป็นตัวกำหนด แม้ว่าอำนาจยุบสภาอยู่ในการลงนามของคนชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม
.
ยิ่งเอ็กซเรย์ลงไปถึงอารมณ์ความต้องการของแต่ละฟากฝ่ายยามนี้ ประหนึ่งว่า กำลังสร้างสภาวะ "การโดดเดี่ยว" นายกฯ อย่างหนักหน่วง
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของผู้กองคนดังที่ริขย่มนายพลผู้กำลังเป็นผู้นำประเทศ กลายเป็นปัญหาคาราคาซังกินเวลามายาวนานถึงขั้นแตกตัวไปร่วมพรรคการเมืองเศรษฐกิจไทย ที่พร้อมจะยกมือหนุนหรือล้มรัฐบาลในสภาได้ทุกเมื่อในจังหวะร่างกฎหมายสำคัญเข้าสู่การพิจารณา มิพักกำลังสร้างภาพหลอนยาวไปถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการประชุมสภาสมัยหน้า ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่า รัฐนาวาลุงตู่จะอยู่ไปถึงฤดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมหรือไม่
หรือเอาแค่ใกล้ๆนี้ก่อนเลย กับการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 17 -18 ก.พ.นี้ เหมือนเป็นการวอร์มอัพก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจในการเปิดสภาสมัยนี้ แน่นอนว่าประเด็นของการอภิปรายพุ่งตรงไปที่คนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นหลัก เพราะเป็นผลจากการเลือกตั้งซ่อมที่พรรคพลังประชารัฐพรรคแกนนำรัฐบาล พ่ายแพ้ยับเยิน ทำให้ฝ่ายค้านต้องโหนกระแส ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนที่สุดอย่างนี้
ครั้นหันกลับไปดูบริวารรอบตัวนายกฯที่จะออกมาเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯในช่วงการอภิปรายแทบจะไม่เห็นขุนพลฝีปากกล้าสักเท่าไหร่ จะมีใครเหลือบ้างที่ยืนหยัดสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่พล.อ.ประยุทธ์ ดังเป็นที่ประจักษ์ผ่านปรากฎการณ์แตกตัวของก๊วนธรรมนัส ออกไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย ขณะที่องครักษ์ชายหญิง ที่เคยพิทักษ์ลุงตู่ ต่างก็มีคดีความ โดนตัดสิทธิทางการเมืองบ้าง และหยุดปฏิบัติหน้าที่ในสภาบ้าง ไม่ว่าจะเป็น สิระ เจนจาคะ หรือ ปารีณา ไกรคุปต์ ลำพังจะอาศัย แรมโบ้อีสาน ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ สามารถทำได้แค่การขับเคลื่อนนอกสภาในฐานะผู้ช่วยรมต.ประจำสำนักนายกฯ(ประจำตัว พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ) เท่านั้น
ประการสำคัญตัวพล.อ.ประยุทธ์เอง ยังไม่มีความชัดเจนที่จะประกาศขอเป็นหัวเรือใหญ่นำทัพพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ยิ่งจะทำให้กลุ่มอื่นๆในพลังประชารัฐเกิดการยับยั้งชั่งใจหนุนพล.อ.ประยุทธ์ ให้ไปต่อ
ขณะเดียวกัน ความพยายามโดดเดี่ยวพล.อ.ประยุทธ์ ยังถูกตีกระหน่ำซัมเมอร์เซล จากฝ่ายที่มีความพยายามเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังปรากฎภาพการเคลื่อนไหวรณรงค์ของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร รวบรวมรายชื่อประชาชน และพรรคการเมืองเสนอสภาแก้ไขรธน.มาตรา 272 ให้ปิดสวิทซ์สว. ตัดอำนาจเลือกนายกฯ
สมชัยอ้างว่า มีถึง 7 พรรคที่สนับสนุนแนวทางปิดสวิทซ์ สว.ไม่หนุนลุงตู่กลับมาเป็นนายกฯ ไม่เฉพาะพรรคฝ่ายค้านยังมีพรรครัฐบาลอย่างภูมิใจไทย หรือแม้แต่พรรคเกิดใหม่เช่นพรรคกล้าร่วมเข้าชื่อสนับสนุนแก้ไขรธน. พร้อมสำทับอีกว่า มีส.ส.สนับสนุนแล้วกว่า 265 ราย รวมถึง ก๊วนธรรมนัส เป็นการเพิ่มน้ำหนักการรณรงค์ของสมชัยให้เห็นว่า พลังโดดเดี่ยว พล.อ.ประยุทธ์ ในสภารอบนี้ มีมากมายมหาศาลแตกต่างจากการเคลื่อนไหวขอแก้ไขรธน.ประเด็นเดียวกันนี้จากปีที่ผ่านมา มิพักกล่าวถึงพรรคเกิดใหม่อย่างพรรคสร้างอนาคตไทย ที่เคยมีเลือดเนื้อเชื้อไขจากพลังประชารัฐแตกหน่อออกไปตั้งพรรคใหม่ ประกาศไม่สนับสนุนคนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในบัญชีเสนอชื่อนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเช่นกัน
.
ฉะนั้น จงอย่าได้แปลกใจ กับคำกล่าวของพล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามสื่อเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 65 ที่ว่า “ …ผมไม่จำเป็นต้องสงวนเป็นนายกฯไปตลอดชาติ ผมก็ทำเท่าที่ผมทำได้ ฉะนั้นไม่ต้องมากังวลว่าผมอยากจะมีอำนาจต่อไป…”
.
เป็นการแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์เพลานี้ ชายชาติทหารชั้นนายพล “พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับกำลังอยู่บนสนามรบทางการเมืองอย่างโดดเดี่ยวและเพลี่ยงพล้ำ พร้อมทิ้ง”อาวุธสุดท้าย” ในการชี้ชะตาประเทศได้ทุกเมื่อ
.
สำคัญ “อาวุธ” ที่ว่านั่นคืออะไร และมีระดับความร้ายแรงภายใต้กรอบกติกาประชาธิปไตยหรือไม่