26 มกราคม 2565 ที่กรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า พบสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 จำนวน 14 ราย โดยมีการพบครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2565 ระหว่างนั้นได้รวบรวมข้อมูลเพื่อรายงานเข้าระบบเป็นรายแรก ในวันที่ 19 มกราคม โดยจำนวนทั้งหมดมาจากต่างประเทศ 9 ราย ในประเทศ 5 ราย โดยในจำนวน 5 รายเสียชีวิต 1 ราย เป็นผู้ป่วยผู้สูงอายุวัย 85 ปี ที่รายงานก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเจอสายพันธุ์ย่อยไหน ก็สามารถตรวจเจอเชื้อ จากระบบ RT-PCR และชุดตรวจคัดกรอง ATK ได้ทั้งหมด ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบางตำแหน่งของเชื้อไวรัสก็ตาม
ตอนนี้ข้อมูล BA.2 ยังน้อยเกินที่จะสรุปว่า มีความรุนแรงหรือ แพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์หลักหรือไม่ เพราะ ยังไม่พบสัดส่วนการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
นพ.ศุภกิจ ระบุว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคม ได้ครอบครองพื้นที่การระบาดในประเทศไทยถึง ร้อยละ 97-98
จากการเฝ้าระวังกลุ่มที่เดินทางเข้าประเทศ พบว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นสายพันธุ์โอมิครอนทั้งหมด
สำหรับในประเทศไทย ในช่วง 3 วันที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 23-25 มกราคม พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนกว่า 900 ราย ส่วนสายพันธุ์เดลตาลดลงอยู่ที่ 50 ราย โดย 5 จังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนมากที่สุด คือ กทม. ชลบุรี ภูเก็ต ร้อยเอ็ด และสมุทรปราการ
ทั้งนี้ภาพรวมสายพันธุ์การแพร่ระบาดทั่วโลก คือ โอมิครอน BA.1 มากที่สุด ส่วน BA.2 เริ่มพบในหลายประเทศมากขึ้น ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ถอดรหัสพันธุ์กรรมของเชื้อไวรัสเข้าระบบ GISAID กว่า 12,000 ตัวอย่าง จากสัปดาห์ละ 500 ตัวอย่าง
อย่างไรก็ตามอนาคตการสุ่มตรวจหาสายพันธุ์ จะลดลงเนื่องจากทั่งหมดเป็นโอมิครอนแล้ว แต่ยังคงต้องถอดรหัสพันธุ์กรรมของผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและพบว่าติดเชื้อ โดยจะมีการสุ่มตัวอย่าง เพื่อเฝ้าระวังว่ามีสายพันธุ์ไหนน่ากังวลหรือไม่
นพ.ศุภกิจ ย้ำ การพบสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.2 ขณะนี้ยังไม่น่ากังวล ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย อัตราเสียชีวิตต่ำ และขอความร่วมมือประชาชนให้เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน