ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง (กค.) ได้หารือร่วมกันถึงประโยชน์และความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัล และเห็นความจำเป็นในการกำกับดูแลและควบคุมการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ
เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้ขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจในลักษณะให้บริการ ชักชวนหรือแสดงตน ว่าพร้อมจะให้บริการแก่ร้านค้าและผู้ประกอบการในธุรกิจต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น จัดทำระบบและโฆษณาเชิญชวนร้านค้า
การที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในลักษณะดังกล่าว อาจส่งผลให้เกิดการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง นอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงเป็นความเสี่ยงต่อประชาชนและธุรกิจ
ทำไม "สินทรัพย์ดิจิทัล" ไม่เหมาะนำมาใช้เป็น "เงิน" เพื่อซื้อขายสินค้าและบริการ?
ผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการ
-ราคามีความผันผวนสูง
ความเสี่ยงจากความผันผวนของมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งทำให้ยอดใช้จ่ายของผู้ใช้ หรือรายรับของผู้รับชำระมีความไม่แน่นอนสูง แม้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลบางรายมีบริการที่ช่วยแลกสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทก่อนส่งมอบแก่ร้านค้า แต่ยังอาจมีต้นทุนแฝง เช่น ค่าธรรมเนียมในการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อป้องกันความผันผวน ที่อาจเก็บจากผู้ใช้หรือผู้รับชำระได้
-เพิ่มความเสี่ยงในการฟอกเงิน
ด้วยลักษณะของสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถโอนหรือรับโอนจากกระเป๋าส่วนตัว (private wallet) ที่ผู้ใช้บริการไม่ต้องพิสูจน์ยืนยันตัวตน จึงมีโอกาสที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะถูกใช้เพื่อการฟอกเงิน และเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนทางการเงินให้กับการก่อการร้าย รวมถึงการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีต่าง ๆ เป็นต้นค้าผิดกฎหมาย เพราะกระเป๋าเงินดิจิทัลส่วนใหญ่ไม่ต้องพิสูจน์ยืนยันตัวตน
-ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
มีโอกาสที่ผู้ใช้บริการจะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ เกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล หรือระบบหยุดชะงักทำให้เสียโอกาส เพราะยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยด้านการชำระเงิน
ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
-เพิ่มต้นทุนในการชำระเงิน
จากการต้องแลกเปลี่ยนไปมา หรือปรับระบบให้รองรับสินทรัพย์หลายประเภท
-ลดเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงิน
แบงก์ชาติไม่สามารถดูแลภาวะการเงินและระดับราคาสินค้าที่ไม่ใช่เงินบาทให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจได้
-เสถียรภาพระบบการชำระเงิน
หากสินทรัพย์ดิจิทัลถูกนำมาใช้เพื่อชำระค่าสินค้าบริการอย่างแพร่หลาย อาจส่งผลต่อการดูแลระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพ มั่นคงและปลอดภัย เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่ถูกพัฒนาจากเทคโนโลยีสาธารณะแบบกระจายศูนย์ (public blockchain) ทำให้ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลและไม่มีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยไว้ หากเกิดปัญหา ผู้ใช้บริการอาจไม่ได้รับความคุ้มครอง
นอกจากนี้ ยังทำให้มีระบบการชำระเงินหลายระบบ (fragmentation) และซ้ำซ้อน อาจสร้างความสับสนหรือทำเกิดต้นทุนหากผู้บริโภคต้องใช้หลายระบบ ทำให้ต้นทุนการชำระเงินโดยรวมของประเทศสูงขึ้นและส่งผลต่อเนื่องมายังการพัฒนาเศรษฐกิจการเงินด้วย
-เสถียรภาพทางการเงิน
การเกิดหน่วยวัดมูลค่า (unit of account) หรือหน่วยการตั้งราคาที่นอกเหนือจากสกุลเงินบาท จะเป็นต้นทุนในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชนและธุรกิจ จากการแลกเปลี่ยนไป-มาระหว่างสกุลต่าง ๆ
นอกจากนี้ ความต้องการถือครองสกุลเงินบาทที่ลดลง จะลดทอนประสิทธิภาพของการส่งผ่านนโยบายการเงิน ในการดูแลระดับราคาสินค้า รวมถึงลดความสามารถของ ธปท. ในการดูแลให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ หากเกิดวิกฤตสภาพคล่องในประเทศ ธปท. จะไม่สามารถเข้าช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้แก่สถาบันการเงินต่างๆ ในรูปแบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินบาทได้
ออกหลักเกณฑ์กำกับดูแล
หลักเกณฑ์กำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในการจำกัดการให้บริการในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ
หน่วยงานกำกับดูแลต่างตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบดังกล่าว จึงพิจารณาใช้อำนาจตามกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าหรือบริการในวงกว้าง และจะมีแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสม สำหรับบริการที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทที่เป็นประโยชน์ต่อนวัตกรรมทางการเงินและไม่สร้างความเสี่ยงเชิงระบบที่กล่าวถึงข้างต้น
การให้บริการให้เกิดการนำสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment - MOP)ครอบคลุมถึง
ผู้ประกอบธุรกิจฯ ต้องไม่ดำเนินการ เช่น
-เชิญชวน หรือแสดงตนว่าพร้อมให้บริการแก่ร้านค้า เพื่อให้ร้านค้ารับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลได้
-ทำระบบ หรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้แก่ร้านค้า ลูกค้า ในการชำระด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล
-เปิดกระเป๋าเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล (wallet) แก่ร้านค้า เพื่อรับชำระค่าสินค้าและบริการ
หรือหากผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล...
ผู้ประกอบธุรกิจฯ ต้องโอนเงินบาทเข้าบัญชีของผู้ขาย ที่เป็นคนทำรายการเท่านั้น
ผู้ประกอบธุรกิจฯ ต้องไม่โอนสินทรัพย์ดิจิทัลไป บัญชีผู้ซื้อขายรายอื่น หรือบุคคลอื่นเพื่อ Mop
ผู้ประกอบธุรกิจฯ ต้องไม่โอนเงินบาทไปยังบัญชีผู้ซื้อขายรายอื่น หรือบุคคลอื่นเพื่อ MoP
ประกาศมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศกำหนด ทั้งนี้ สำหรับสัญญา หรือข้อตกลงที่ผู้ประกอบธุรกิจฯทำไว้ก่อนที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ผู้ประกอบธุรกิจฯ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามเกณฑ์ภายใน 15 วัน นับจากประกาศมีผลใช้บังคับ
ทั้งนี้จากการแถลงข่าวร่วมของ แบงก์ชาติ และ กลต. หลักเกณฑ์กำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในการจำกัดการให้บริการในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ สะท้อนว่า หน่วยงานภาครัฐไม่สนับสนุนอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลหรือไม่
“ประเด็นที่หน่วยงานกำกับดูแลฯ กังวล คือ ความเสี่ยงจากการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการอย่างแพร่หลายที่กล่าวถึงข้างต้น ขณะที่ระบบชำระเงินปัจจุบันของไทยมีประสิทธิภาพสูงอยู่แล้ว ทำให้การนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการไม่ได้เพิ่มประโยชน์มากนักให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ดี ธปท. และ ก.ล.ต. รวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ เล็งเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีต่าง ๆ เบื้องหลังสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น blockchain และให้ความสำคัญและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อต่อยอดนวัตกรรม และไม่ได้ปิดกั้นการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในการลงทุน สะท้อนจากการที่ไทยเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่มีกฎหมายรองรับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
โดย ก.ล.ต. เพื่อกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้เหมาะสม และคุ้มครองประโยชน์ของผู้ใช้บริการมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ธปท. เป็นธนาคารกลางแห่งแรก ๆ ที่เริ่มพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อใช้ต่อยอดนวัตกรรมทางการเงิน และส่งเสริมการพัฒนาบริการทางการเงินใหม่ ๆ เช่น การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเทคโนโลยี blockchain หรือการออกหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้ blockchain เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการเงินด้วย”
ภายใต้แนวนโยบายที่กล่าวถึง ปัจจุบันหน่วยงานกำกับดูแล ได้มีการออกหลักเกณฑ์ โดย ก.ล.ต. อยู่ระหว่างรับฟังความเห็นต่อการกำหนดหลักเกณฑ์ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้บริการ ที่เกี่ยวข้องกับการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ นอกเหนือจากวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถติดตามรายละเอียดได้ คลิกที่นี่
นโยบายของแบงก์ชาติไม่สนับสนุน "สินทรัพย์ดิจิทัล" ใช่หรือไม่ ?
แบงก์ชาติไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้จับจ่ายใช้สอยซื้อของหรือที่เรียกว่า ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เพราะการที่ประเทศใช้เงินหลายสกุลจะส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
แบงก์ชาติไม่ได้ปิดกั้นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และยังสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยพัฒนาระบบการเงิน ทำให้ผู้ใช้บริการทางการเงินได้รับบริการที่สะดวก มีคุณภาพ ในต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งเทคโนโลยีเบื้องหลังสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น blockchain จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดนวัตกรรมเหล่านี้
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ธปท. คำนึงถึงทั้งความเสี่ยงและประโยชน์ของสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยีเบื้องหลัง และมองว่า ณ ขณะนี้การนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการอย่างแพร่หลายจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ จึงควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ขณะที่เทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังกล่าวก็ควรได้รับการสนับสนุนโดยมีกลไกดูแลที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและประโยชน์ต่อประชาชน
นโยบายของต่างประเทศ ต่อการใช้ “สินทรัพย์ดิจิทัล
สำหรับแนวทางของต่างประเทศ ต่อการใช้ “สินทรัพย์ดิจิทัล” เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ ในปัจจุบันยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก
โดยยกตัวอย่าง ประเทศที่ยอมรับและอนุญาต ให้มีการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการชำระค่าสินค้าและบริการ เช่น
ประเทศที่อยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ไม่ห้ามเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่สุด และไทยเองก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน เช่น
ประเทศที่ไม่ยอมรับและไม่อนุญาต ให้มีการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการชำระค่าสินค้าและบริการ เช่น