วันนี้ (14 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในประเด็นการแก้ไขปัญหาอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF ที่ส่งผลให้ราคาเนื้อสุกรภายในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ โดยนายสัตวแพทย์สรวิศ ระบุว่า กรมปศุสัตว์ได้รายงานในการแก้ไขปัญหาเรื่องโรค AFS ซึ่งนายกรัฐมนตรีเข้าใจพร้อมสั่งการให้ควบคุมโรคให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงฟื้นฟูเกษตรกรรายย่อย
นอกจากนี้ยังต้องดูแนวทางการสำรวจในเรื่องของสุกรที่สูญหายไปจากระบบ 50% ซึ่งนายกฯ ขอความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือในการดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และต้องมีการพูดคุยราคาเนื้อสุกรกับกรมการค้าภายใน ว่าจะสามารถตรึงราคาได้นานเพียงใด รวมไปถึงราคาสินค้าชนิดอื่นๆ ด้วย ยืนยันว่านายกฯ รับทราบมาโดยตลอด และกรมปศุสัตว์ได้ชี้แจงว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวกรมปศุสัตว์ปกปิดข้อมูลเรื่องการระบาดของโรค ASF อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า นายกฯ เข้าใจ เพราะได้รายงานการทำงานมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 61 ที่มีการระบาดของโรคในจีน หากมีการปกปิดจะไม่สามารถส่งออกเนื้อหมูไปยังต่างประเทศในช่วงระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกไปยังเวียดนามหรือกัมพูชา เนื่องจากต้องมีการตรวจโรคเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าโรคดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย แต่มีการระบาดกว่า 34 ประเทศทั่วโลก ซึ่งนายกฯ ได้เน้นย้ำว่า ขอให้ควบคุมโรคให้ดีและให้สงบโดยเร็ว เพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรเดินหน้าได้ โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ซึ่งไม่ได้ขีดเส้นระยะเวลา รวมถึงได้มีการถามตนว่า ในส่วนนี้ราคาสุกรหรือการนำเข้าสู่ระบบการดำเนินการทุกอย่างจะแล้วเสร็จช่วงเวลาใด ซึ่งตนระบุว่า ราว 8-12 เดือน
ส่วนกรณีที่นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระบุไม่รู้ว่าหมูหายไปไหนนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าหมูหายไปไหนแต่เป็นไปตามระบบ ปกติแล้วปศุสัตว์ไม่ว่าจะโรคอะไรตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ หากมีการแจ้งมา จะลงไปดำเนินการทดสอบและเก็บตัวอย่างมาตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์ ในส่วนนี้นายกฯ ให้ดำเนินการสำรวจว่า สุกรมีจำนวนเท่าไหร่ โดยให้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย
"ผมไม่ทราบเรื่องผู้ประกอบที่ออกมาเปิดเผยการตายของสุกรถูกข่มขู่ และยืนยันไม่ถอดใจในการแก้ไขโรค ASF เพราะโรคนี้เกิดมาเป็น 100 ปีแล้วยังไม่มีวัคซีน ซึ่งนายกฯ และ รมว.เกษตรฯ เข้าใจและให้กำลังใจตนในการทำงาน พร้อมขอให้ทำงานให้สำเร็จลุล่วงต่อไป"
ด้านนายสัตวแพทย์กิจจา อุไรรงค์ ภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่าการระบาดของโรค ASF ทำให้สุกรล้มตายมากว่าสองปีแล้ว และมีเกษตรกรบางส่วนพยายามขายหมูออกสู่ตลาดนั้น ยืนยันว่า หากหมูที่ออกสู่ท้องตลาดเป็น ASF จริง ก็จะไม่ก่อโรคในคนหรือสัตว์ชนิดอื่น เนื้อหมูยังสามารถบริโภคได้ตามปกติแต่เน้นทำให้ถูกสุขอนามัย เน้นย้ำไม่มีพิษภัยต่อคนหรือสัตว์ชนิดอื่น ยกเว้นสุกร ดังนั้นขออย่าตระหนกตกใจ
ทั้งนี้ต้องเข้าใจด้วยว่าราคาหมูแพงไม่ได้เกิดขึ้นจากโรคระบาดเพียงอย่างเดียว ซึ่งนายกฯ เข้าใจเรื่องต้นทุนการผลิต พันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ซึ่งขนาดนี้วิกฤตอาหารสัตว์เป็นเรื่องของทั่วโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย
ส่วนงบประมาณที่ ครม. อนุมัติไปกว่า 570 ล้านบาท จะเยียวยาเฉพาะรายย่อยเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค ซึ่งก่อนหน้านี้ภาคเอกชนมีการระดมทุนช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยในการลดความเสี่ยง 100 ล้านบาท ดังนั้นจึงขอความช่วยเหลือภาครัฐ ส่วนรายย่อยที่จะกลับมาเลี้ยงสุกรใหม่ นายกฯ ได้สอบถามว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความมั่นใจ ซึ่งส่วนนี้จะต้องมีการยกระดับการเลี้ยงตามมาตรฐาน GFM โดยจะมีการของบประมาณกับสภาพัฒน์เพื่อยกระดับส่วนนี้
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการหารือกับนายกฯ แล้วเสร็จ อธิบดีกรมปศุสัตว์และนายสัตวแพทย์อุไรรงค์ ได้สวมกอดให้กำลังใจกันด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า