27 ธันวาคม 2564 ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในไทย ขณะนี้ รวมทั้งหมด 514 ราย ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในการควบคุมของกระทรวงสาธารณสุข แต่ยอมรับมีบางส่วนที่เล็ดรอดออกไปบ้าง ซึ่งได้ติดตามทั้งผู้ติดเชื้อ และผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมดมาเข้าสู่ระบบแล้ว
สำหรับอาการสายพันธุ์โอมิครอน จากการศึกษาทั้งในไทยและต่างประเทศพบว่า มีอาการเล็กน้อย โดยเชื้อไวรัสจะอยู่บริเวณหลอดลมและลำคอ ไม่ค่อยลงปอด
จากการศึกษาผู้ป่วย 41 รายในไทย ที่มีอาการ พบว่า มีอาการไอ ร้อยละ54 // เจ็บคอ ร้อยละ 37 // มีไข้ ร้อยละ 29 // ปวดกล้ามเนื้อ ร้อยละ 15 // มีน้ำมูกร้อยละ 12 // ปวดศรีษะร้อยละ 10 // หายใจลำบากร้อยละ 5 และได้กลิ่นลดลง ร้อยละ 2
ส่วนผู้ป่วยติดเชื้อโอมิครอนที่มีอาการหนัก พบเพียงร้อยละ 3-4 และเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอน มีอัตราการ อาการหนักและเข้าโรงพยาบาล น้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า
นพ.เกียรติภูมิ ยังระบุว่า หลังการเปิดประเทศ ไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี แต่เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขจึงได้ให้กรมควบคุมโรคเสนอฉากทัศน์ หรือ การคาดการณ์สถานการณ์ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต โดยพบว่า ฉากทัศน์ของผู้ติดเชื้อหากไม่มีการควบคุมการแพร่ระบาดอาจจะทำให้มีผู้ติดเชื้อสูงถึง 30,000 รายต่อวัน หากควบคุมได้ในระดับปานกลางจะมีผู้ติดเชื้ออยู่ 15,000 -16,000 รายต่อวัน แต่ถ้าควบคุมได้ดีทุกคนจะพบผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 15,000 ราย ต่อวัน
ส่วนฉากทัศน์ผู้เสียชีวิต พบว่า อัตราการเสียชีวิตหากไม่มีมาตรการอะไรเลย อาจสูงถึงวันละ 170 -180 คน / หากมีมาตรการคุมเข้ม ฉีดวัคซีน ผู้เสียชีวิตอาจจะอยู่ที่วันละ 50 - 60 ราย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า จะมีผู้เสียชีวิตน้อยกว่า เนื่อง จากผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีอาการไม่หนัก
ปลัด สธ. ย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุขจะพยายามควบคุมการติดเชื้อและอัตราการตายให้ได้มากที่สุด ส่วนสถานการณ์เตียงรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศมีทั้งหมด 178,139 เตียง มีอัตราครองเตียง ร้อยละ 13 แบ่งเป็น เตียงสีเขียว ร้อยละ 6.4 เตียงสีเหลือง ร้อยละ 25.6 % และเตียงสีแดงใช้ไป ร้อยละ 31.6
สำหรับการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ ขณะนี้มีอยู่ประมาณ 15 ล้านเม็ด ใช้ได้ประมาณ 2 เดือน อย่างไรก็ตาม ได้เตรียมวัตถุดิบผลิตยาฟาวิพิราเวียร์เพิ่ม 60 ล้านเม็ด ซึ่งมีอัตราการผลิตเดือนละ 30 ล้านเม็ด