ยังคงเป็นประเด็นให้พูดถึงอย่างต่อเนื่อง ภายหลัง “เอ็มเมอร์ลีน จิล” รอง ผอ.สำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล พูดถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการเรียกร้องทางการเมืองของ 3 นักจัดกิจกรรม เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จนเกิดเสียงต้านว่า การแสดงความคิดเห็นแบบนี้ เป็นการก้าวก่ายระบบศาลยุติธรรมของไทยหรือไม่
ล่าสุดนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และนักเทววิทยา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “Thepmontri Limpaphayorm” ว่า ลาก่อนแอมเนสตี้ไทยแลนด์ ก่อนอื่นต้องมีความรู้ก่อนไปเรียกร้องให้ยกเลิกกิจการแอมเนสตี้ไทยแลนด์ โดยเฉพาะต้องพกพา “ระเบียบกระทรวงแรงวานและสวัสดิการสังคมว่าด้วยการเข้ามาดำเนินขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ.2541” ไปด้วย
ทราบข่าวว่าวันนี้ (25 พ.ย.) จะมี 6 กลุ่มองค์กรจะไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรี ขับแอมเนสตี้ไทยแลนด์ออกจากประเทศ ส่วนตัวคิดว่าถ้าท่านนายกฯ กล้าตัดสินใจสามารถทำได้โดยเร็วดังนี้
1.กรณีเร่งด่วน! ท่านนายกฯ ทำคำสั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม ดำเนินการระงับใบอนุญาตประกอบกิจการองค์การเอกชน แอมเนสตี้ไทยแลนด์ได้ทันที
2.แต่ถ้าท่านนายกฯ อยากจะทำแบบช้าๆ คือ ออกคำสั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ส่งเรื่องต่อไปยัง “คณะกรรมการพิจารณาการดำเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศ” (ประกอบไปด้วยหลายหน่วยงาน) ซึ่งหากผลสอบสวนออกมาอาจแค่ตักเตือน (ในกรณีที่แอมเนสตี้เส้นใหญ่)
การสืบสวนเมื่อเสร็จสิ้นในกรณีเส้นใหญ่ อาจเป็นเพียงออกหนังสือ “ตักเตือนพฤติกรรม” ซึ่งทำให้แอมเนสตี้ไทยแลนด์อยู่ต่อได้ ใบอนุญาตให้แอมเนสตี้ไทยแลนด์ประกอบกิจการรับเงินบริจาคในประเทศไทยมีอายุ 2 ปี ต่ออายุก่อนหมดเวลาภายใน 90 วัน นอกเสียจากคณะกรรมการฯจะไม่ต่ออายุซึ่งแอมเนสตี้ฯ สามารถอุทธรณ์ไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานฯ ได้ ภายใน 30 วัน โดยอำนาจสิทธิ์ขาดเป็นของรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีอำนาจเป็นสิทธิ์ขาด พูดง่ายๆ ท่านนายกสั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานระงับใบอนุญาตประกอบกิจการขององค์การแอมเนสตี้ไทยแลนด์ได้เลยเป็นอันดับแรก แล้วค่อยสอบสวน แต่จะทำหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวท่าน!
ข้อหาที่มีต่อแอมเนสตี้และการทำผิดระเบียบมีมากมายหลายอย่าง เช่น การออกมาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพียงข้อเดียว ก็ทำให้แอมเนสตี้ออกจากประเทศไทยได้แล้ว นี่ไม่นับรวมการเลือกข้างฝักใฝ่การเมือง ให้การสนับสนุนม็อบ และทำตัวเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศไทย