แต่ประเด็นที่ "เนชั่นทีวี" นำเสนอนั้น คือ รายงานของฝ่ายความมั่นคง ที่ประเมินปฏิกิริยาหลังศาลอ่านคำวินิจฉัยครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้ประเมินเฉพาะม็อบเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ประเมินยาวไปถึงสถานการณ์หลังจากนี้ด้วย
1.ความเคลื่อนไหวของฝ่ายอ้างปฏิรูปสถาบันฯ และต่อต้านรัฐบาล สองกลุ่มนี้เคลื่อนไหวร่วมกัน และเหลื่อมซ้อนกันบางส่วน โดยพากันแสดงความไม่พอใจคำวินิจฉัย และโจมตีศาล รวมทั้งพาดพิงไปถึงสถาบันหลักของชาติ ทำให้แนวโน้มความเคลื่อนไหวนี้คาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เป็นข้อสังเกตคือ "กระแสยังไม่รุนแรงมากนัก" โดยมีข้อมูลเชิงประจักษ์ ประกอบด้วย
- ในทวิตเตอร์ ใช้แฮชแท็ก #ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง ติดอันดับ 1 แฮชแท็กนี้ได้รับความความนิยมก็จริง แต่เวลาผ่านไปราว 20 ชั่วโมง มีผู้ใช้แฮชแท็กนี้ไม่ถึง 1 ล้านครั้ง แตกต่างจากช่วงปี 2563 หากมีข่าวใหญ่ที่กระทบกับขบวนที่ออกมาเคลื่อนไหว หรือเกี่ยวโยงกับสถาบัน แฮชแท็กจะมากกว่า 1 ล้านภายในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง
- ยอดกดไลค์กดแชร์โพสต์ในเฟซบุ๊กของแกนนำฝ่ายอ้างปฏิรูปสถาบัน เพจต่อต้านรัฐบาล ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- การแสดงออกอื่นๆ ทันทีในช่วงกลางคืน หลังจากที่ศาลอ่านคำวินิจฉัย ปรากฏว่ามีเหตุพ่นสี และวางเพลิง 2 จุดในจ.ขอนแก่น และ นนทบุรี ส่วนกิจกรรมในที่สาธารณะมีที่กรุงเทพฯ และอุบลราชธานี
2.ปฏิกิริยาที่ไม่รุนแรงครั้งนี้ สอดคล้องกับกระแสของฝ่ายอ้างปฏิรูปสถาบันฯ ที่ได้รับความสนใจลดน้อยลงมาตลอดในปี 2564 ทั้งการชุมนุมแบบลงถนน และความเคลื่อนไหวทางออนไลน์
3.สาเหตุที่ทำให้การเคลื่อนไหวซบเซา แม้จะมีคำวินิจฉัยของศาลออกมา เป็นเพราะ
- แกนนำม็อบ และกลุ่มการเมือง ตลอดจนพรรคการเมืองที่ให้การสนับสนุน ยังอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ และกระแสที่เกิดขึ้นจากคำวินิจฉัย
- แกนนำม็อบและฝ่ายการเมืองรอดูผลคดีต่างๆ ที่มีการแจ้งความไว้แล้ว และกำลังจะแจ้งเพิ่ม โดยเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 114 และ 116 รวมถึงการยื่นคำร้องยุบพรรคการเมือง ซึ่งพรรคก้าวไกลอาจโดนยื่นคำร้องเพิ่ม จากเดิมโดนยื่นไว้แล้วกรณีสนับสนุนกลุ่มล้มล้างสถาบันฯ
หลังจากนี้ อาจโดนเรื่องการเสนอยกเลิกมาตรา 112 เพราะไปสอดคล้องกับข้อเรียกร้อง 10 ข้อของกลุ่มอ้างปฏิรูปสถาบันฯ ที่ศาลชี้ว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง
4.คาดการณ์สถานการณ์ในระยะต่อไป
- การต่อต้านและโจมตีคำวินิจฉัยศาล รวมถึงตัวศาลรัฐธรรมนูญ สถาบันหลักของชาติ และรัฐบาล จะยังคงมีอยู่ต่อไป โดยเฉพาะในโซเขียลมีเดีย โดยชูประเด็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ อ้างเหตุผลว่าเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ทั้งหมดและเพื่อความเท่าเทียม
- การใช้วิธีแบบกองโจร เพื่อหวังให้ได้ภาพถ่าย แล้วนำ 1-2 ภาพไปขยายผล จะถูกนำมาใช้มากขึ้น เช่น การทำลายหรือเผาภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พ่นสีเปรย์ ฉายสไลด์ ยิงเลเซอร์ ด้วยข้อความปลุกเร้าปลุกระดม
- พื้นที่เฝ้าระวัง เพราะเคยมีการเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน พิษณุโลก ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ รวมถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความอ่อนไหวผสมกันหลายเรื่อง
- การจัดชุมนุมจะเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น และจะนัดกลุ่มย่อยในกรุงเทพกับต่างจังหวัดก่อน จากนั้นแกนนำจะประเมินสถานการณ์ว่ามีผู้ตอบรับมากน้อยแค่ไหน ก่อนตัดสินใจขับเคลื่อนในระยะต่อไป หากมีมวลชนมากพอ ก็จะจัดชุมนุมใหญ่นานๆ ครั้ง โดยหมุดหมายครั้งต่อไป น่าจะเป็นช่วงปลายเดือนพ.ย. และวันที่ 10 ธ.ค. ซึ่งตรงกับวันรัฐธรรมนูญ
5.สาเหตุที่ม็อบ 14 พ.ย. มีมวลชนไม่มากนัก
นอกจากเหตุผลเรื่องสถานการณ์ภาพรวมของม็อบต่อต้านสถาบันฯ ที่ค่อนข้างถดถอยแล้ว ยังอาจเป็นไปได้ว่าแกนนำต้องการเช็คกระแสว่า "ม็อบตามธรรมชาติ" ซึ่งไม่มีแกนนำหลักเข้าร่วมเลย มีจำนวนมากน้อยเพียงใด เพื่อตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป แต่ผลข้างเคียงที่เกิดตามมา คือ ทำให้มวลชนจำนวนหนึ่งผิดหวัง ที่แกนนำสำคัญไม่ยอมปรากฏตัวเลย เหมือนเซฟตัวเองไว้ก่อน ทิ้งให้มวลชนออกหน้าเพียงลำพัง
จากข้อมูลทั้งหมด ฝ่ายความมั่นคงประเมินเบื้องต้นว่า กระแสอ้างปฏิรูปสถาบันฯ ที่ถูกตีตราจากศาลว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง จะยัง "จุดไม่ติด" ทั้งการชุมนุมแบบออนกราวด์ การรวมตัวทางออนไลน์ รวมถึงการเข้าชื่อเสนอยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
แต่ทั้งหมดนี้ยังประมาทไม่ได้ เพราะแกนนำนอกประเทศเคลื่อนไหวสอดรับกับองค์กรภายในประเทศอยู่ตลอดเวลา เพื่อหาจังหวะพลิกสถานการณ์