ความเคลื่อนไหวล่าสุด ทาง บริษัท เมอร์ค แอนด์ โค Merck & Co เจ้าของสิทธิบัตรยาโมลนูพิราเวียร์ ยาเม็ดสำหรับรักษาอาการติดเชื้อโควิด-19 ได้ประกาศให้อนุสิทธิบัตรแบบรอยัลฟรี (royalty-free license) กล่าวคือต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตร ให้กับบริษัทผู้ผลิตยาในประเทศกำลังพัฒนา 105 ประเทศ สามารถนำไปผลิตได้ เปิดทางให้ประเทศเหล่านั้นสามารถผลิตยาจำหน่ายได้ในราคาถูก แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ ไม่มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วยใน 105 ประเทศที่ได้รับสิทธิ์ด้วย
ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลง ระหว่าง บริษัท เมอร์ค แอนด์ โค Merck & Co เจ้าของสิทธิบัตรยาโมลนูพิราเวียร์ กับ บริษัทยาหลายแห่งใน 105 ประเทศ จะได้รับใบอนุญาตแบบปลอดค่าสิทธิบัตร และจะได้รับสูตรการผลิตยา Molnupiravir และเริ่มการผลิตได้เอง โดยในรายชื่อ 105 ประเทศที่ได้สิทธิ อยู่ในกลุ่มรายได้น้อยและปานกลาง ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชียและแอฟริกา
ประเด็นข่าวนี้ สร้างกระแสความยินดีให้กับวงการสาธารณสุขไปทั่วโลก เพราะนั่นหมายความว่า โอกาสที่ผู้คนจะเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์ ยาเม็ดสำหรับรักษาอาการติดเชื้อโควิด-19 ได้มากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน ก็เกิดความหวั่นกลัวว่า ประเทศร่ำรวยจะพากันแย่งซื้อยาตัวนี้ไปได้ก่อน แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในการแย่งชิงกันซื้อวัคซีนโควิด-19 จนเหลือวัคซีนไปถึงมือประเทศยากจนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือไปไม่ถึงเลยในบางประเทศ
การที่ เมอร์ค แอนด์ โค. Merck & Co ยินยอมแบ่งปันสูตร ยาโมลนูพิราเวียร์ Molnupiravir ให้แก่ประเทศยากจนในครั้งนี้ ได้รับความชื่นชมอย่างมาก และเป็นความหวังว่า จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาประเทศยากจน เข้าไม่ถึงการรักษาโควิด ซ้ำรอยกับที่เคยเกิดปัญหาการแย่งชิงวัคซีนต้านโควิด-19 มาแล้ว
ยาโมลนูพิราเวียร์ เป็นยาเม็ด ที่สามารถกินเองได้ที่บ้าน ช่วยลดภาระการต้องรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลให้น้อยลง และคาดว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางออก สำหรับการแก้ปัญหาวิกฤตโควิดครั้งนี้
ตามรายงานก่อนหน้านี้ บริษัท เมอร์ค (Merck) ผู้ผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ จะผลิต 10 ล้านชุดในปี 2021 ซึ่งอาจคิดเป็นเงินมูลค่าสูงถึง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 236,300 ล้านบาท ที่บริษัท Merck จะสามารถทำได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เรียกได้ว่า กลับมาฟื้นตัวทันที หลังจากสู้ไม่ได้ในตลาดวัคซีน
ขณะที่ เจมส์ เลิฟ แกนนำองค์กรโนวเลจ อีโคโลยี อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อการวิจัยไม่แสวงกำไร ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า ใน 105 ประเทศที่ได้รับอนุสิทธิบัตรครั้งนี้ ไม่มีประเทศที่มีรายได้ปานกลางหลายประเทศอยู่ด้วย รวมทั้งประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคละตินอเมริกาก็ไม่มีอยู่ในรายชื่อประเทศที่ได้รับอนุสิทธิบัตร
สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอยู่ 6 ประเทศที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ส่วนประเทศที่ไม่อยู่ในรายชื่อ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย
ส่องรายชื่อ 105 ประเทศที่รับสิทธิผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ ดังนี้
Afghanistan, Algeria, Angola, Bangladesh, Belize, Benin, Bhutan, Bolivia, Botswana, Burkina Faso, Burundi, Cabo Verde, Cambodia, Cameroon, Central African Republic, Chad, Comoros, Congo, Congo, democratic Republic of the Côte d’Ivoire, Cuba, Djibouti, Dominica, Egypt, El Salvador, Equatorial Guinea, Eritrea, Eswatini, Ethiopia, Fiji, Gabon, Gambia, Ghana, Grenada, Guatemala, Guinea, Guinea-Bissau, Guyana, Haiti, Honduras, India, Indonesia, Iran, Iraq, Jamaica, Kenya, Kiribati, Korea (Democratic People’s Republic of), Lao People’s Democratic Republic, Lesotho, Liberia, Libya, Madagascar, Malawi, Maldives, Mali, Marshall Islands, Mauritania, Mauritius, Micronesia, Moldova, Mongolia, Morocco, Mozambique, Myanmar, Namibia, Nepal, Nicaragua, Niger, Nigeria, Pakistan, Papua New Guinea, Paraguay, Philippines, Rwanda, Saint Lucia, Saint Vincent and the Grenadines, Samoa, Sao Tome and Principe, Senegal, Seychelles, Sierra Leone, Solomon Islands, Somalia, South Africa, South Sudan, Sri Lanka, Sudan, Suriname, Syrian Arab Republic, Tajikistan, Tanzania, Timor-Leste, Togo, Tonga, Tunisia, Tuvalu, Uganda, Uzbekistan, Vanuatu, Venezuela, Viet Nam, Yemen, Zambia, Zimbabwe
"แล้วพวกคุณจะทำอย่างไรกับประเทศอย่าง ชิลี หรือ โคลอมเบีย, ไทยและเม็กซิโก ที่ไม่ได้รับอนุสิทธิบัตรครั้งนี้"