วันที่ 10 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวได้รับร้องเรียนจากนายคงกะพัน พลนาวี เจ้าของบ้านเลขที่ 149 หมู่ 1 ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่าในช่วงที่ผ่านมาถูกกลุ่มวัยรุ่น รบกวนสร้างความรำคาญ ด้วยกันกระโดดข้ามรั้วเข้ามาในบ้าน เพื่อหลบหนีคู่อริที่จะมาทำร้ายร่างกาย ทำให้นายคงกระพัน รู้สึกไม่ปลอดภัย แจ้งตำรวจไปหลายครั้งแต่ยังพบเหตุการณ์ดังกล่าวบ่อยครั้ง และมีภาพจากกล้องวงจรปิดยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าบ้านหลังดังกล่าว คือ บ้านเลขที่ 149 หมู่ 1 ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อยู่ในย่านชุมชนช่างเคี่ยน ริมถนนคันคลองชลประทานเชียงใหม่ มีบ้านขนาดใหญ่ปลูกติดกันอยู่หลายหลัง และมีถนนเชื่อมต่อกับย่านหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวจึงได้สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น กับ นายคงกะพัน พลนาวี ผู้ร้องเรียน และเป็นหลานชายของ พล.ต.ต.ประพันธ์ พลนาวี อดีต รอง ผบช.ภ.5
นายคงกะพัน พลนาวี เล่าว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในกลางดึกค่ำคืนวันที่ 7 ตุลาคม 2564 โดยในตอนเกิดเหตุ ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจึงออกมาดูตรงบริเวณบ้านด้านในพบว่ามีกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 4 คน นั่งอยู่บนรั้ว สักพักกระโดดลงรั้ววิ่งกลับออกไปทางปากซอย ตนเองจึงคาดว่าเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มักมารวมตัวกันดื่มสุราบริเวณริมถนนคันคลองชลประทาน พอตกดึกมักจะมีเหตุทะเลาะวิวาท ทำให้กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว วิ่งหนีเข้ามาในซอยของบ้านตนเอง ซึ่งห่างจากถนนใหญ่ 200 เมตร พอวัยรุ่นเห็นเป็นซอยตัน คาดว่าจะกระโดดข้ามมาเพื่อหลบหนีคู่อริ แต่พอคู่อริไม่ตามมา จึงกลับออกไป
ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุดังกล่าว เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เคยเกิดเหตุลักษณะเดียวกัน โดยกระโดดเข้ามาในบริเวณบ้านเรียบร้อย ซึ่งครั้งนั้นยังไม่ได้ติดกล้องวงจรปิด แต่ไม่แน่ใจว่าทั้ง 2 ครั้งเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ในครั้งแรกเห็นว่ามีการขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา จอดไว้หน้าบ้าน แล้วกระโดดมาหลบอยู่สักพัก หลังจากนั้นคู่อริได้ทุบรถของกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวและได้หลบหนีไป หลังจากนั้นกลุ่มที่หลบอยู่ได้กระโดดกลับออกไปแล้วแยกย้ายกัน ในช่วงเช้าออกไปดูพบเศษกระจกเศษรถจักรยานยนต์ที่ถูกทุบ จึงได้ไปแจ้งตำรวจสภ.ช้างเผือก ให้มาตรวจสอบ แต่ผ่านไป 2 เดือน ยังคงมีวัยรุ่นมาจับกลุ่มกันดื่มสุราทุกคืน บางครั้งทะเลาะวิวาทแล้วกระโดดเข้าไปหลบในบ้านหลังอื่นจน ชาวบ้านละแวกนี้ หวาดผวาจนต้องเลี้ยงสุนัขและติดกล้องวงจรปิด
นายคงกะพัน กล่าวด้วยว่า ในบ้านของตนเองมีทั้งผู้สูงอายุ และเด็กอยู่หลายคน เกรงว่าหากเกิดเหตุลักษณะแบบนี้ในอนาคต กลุ่มวัยรุ่นอาจไม่หยุดแค่หน้าบ้าน อาจเข้ามาก่อเหตุอาชญากรรมร้ายแรง ฝากถึงตำรวจด้วยว่าให้เข้มงวดกวดขัน เพราะพื้นที่บ้านตนเองเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล รวมถึงเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน อยากให้ตำรวจเอาจริงเอาจัง กับการปราบกลุ่มวัยรุ่นดื่มสุรา โดยเฉพาะในช่วงนี้อยู่ในสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งไม่ควรจับกลุ่มจำนวนมาก
โดย เกรียงไกร รัตนา / ศูนย์ข่าวภาคเหนือ