มาเรีย เรซซา ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ บอกเมื่อวันศุกร์ ( 8 ตุลาคม ) ว่ารางวัลนี้ เป็นการตระหนักถึงความสำคัญของสื่อมวลชนใน "การต่อสู้เพื่อข้อเท็จจริง"
เธอบอกว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์ควรเห็นรางวัลนี้ว่าเป็นชัยชนะสำหรับเพื่อนชาวฟิลิปปินส์และนักข่าวของเธอ และว่า "เมื่อมีความยุติธรรม ความมืดก็มีจุดจบ"
เรซซา ซึ่งเป็นผู้บริหาร Rappler บริษัทสื่อดิจิทัลที่เธอร่วมก่อตั้งในปี 2555 ซึ่งเธอและ Rappler ต่างก็เป็นที่รู้จักในเรื่องการรายงานข่าวสืบสวนคดีฆาตกรรมจำนวนมากในระหว่างการรณรงค์ของตำรวจเพื่อต่อต้านยาเสพติด รวมถึงเรื่องราวอื่นๆ
นับตั้งแต่ที่เว็บไซต์เปิดตัว เธอต้องดำเนินการเพื่อขอประกันตัวถึง 10 ครั้ง เมื่อถูกทางการฟ้องร้องดำเนินคดีโดยกล่าวหาเธอทุกอย่าง ตั้งแต่การหมิ่นประมาทไปจนถึงการหลีกเลี่ยงภาษี และนั่นได้จุดประกายความกังวลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเสรีภาพสื่อในประเทศที่เคยเป็นผู้กำหนดมาตรฐานเสรีภาพสื่อในเอเชีย
ขณะนี้ Rappler อยู่ในระหว่างการแย่งชิงทางกฎหมายระหว่างเธอกับรัฐบาล เพื่อขอคืนใบอนุญาตหลังจากถูกเพิกถอนในปี 2561 เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายว่าด้วยการที่มีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของ
เรซซาบอกว่างานของเธอดึงดูดให้เกิดการละเมิดบนโซเชียลมีเดียจากบรรดาผู้สนับสนุนประธานาธิบดีเผด็จการในประเทศของเธอ เธอบอกว่า “การเป็นนักข่าวไม่เคยยากเหมือนทุกวันนี้มาก่อน”
ด้าน เบริต เรส - แอนเดอร์สัน ประธานคณะกรรมการโนเบลของนอร์เวย์บอกในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เรซซาได้รับรางวัลนี้ “สำหรับการต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อเสรีภาพในการแสดงออกในฟิลิปปินส์”
และก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่เป็นในกรณีของรัสเซีย ทางคณะกรรมการก็ได้ให้ดมิตรี มูราตอฟ ได้รางวัลนี้ร่วมกับเรซซาด้วย
งานนี้ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์รัสเซียได้อุทิศรางวัลให้กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ 6 คนที่ถูกฆาตกรรมจากการทำงานของพวกเขา
มูราตอฟ วัย 59 ปี ช่วยก่อตั้งหนังสือพิมพ์ "โนวายา กาเซตา" ในปี 2536 โดยเขาร่วมกับกลุ่มเพื่อนร่วมงาน ได้ตั้งสิ่งพิมพ์ใหม่ในช่วงเวลาแห่งอิสรภาพ หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 2534
และตั้งแต่เริ่มต้น ภารกิจของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้คือการสอบสวนในวงกว้างเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชน การทุจริต และการใช้อำนาจโดยมิชอบ
นักข่าวบางคนที่ทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ และเป็นหนึ่งในบรรดานักวิจารณ์ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน คนดัง ได้ถูกสังหารในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงนักข่าว อันนา โปลิตกอฟสกาย่า และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ นาตาเลีย เอสเตมิรอฟว่า
รายแรก ถูกยิงเสียชีวิตที่บันไดอพาร์ตเมนต์ของเธอในปี 2549 ในช่วงวันเกิดของปูติน ส่วนรายหลัง ถูกลักพาตัวจากบ้านของเธอในเชชเนีย และถูกสังหารในปี 2552
แต่หลังทราบเรื่องการได้รับรางวัล ทางรัฐบาลรัสเซีย ก็ออกมาแสดงความยินดีกับเขาด้วย