22 กันยายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ระบุว่า การฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนัง เป็นงานวิจัยของเป็นงานวิจัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มอ. กับกรมวิทย์ฯ ร่วมมือกัน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. ภายใต้ MOU ที่ทำกับกระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งการฉีดวัคซีนโดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
ส่วนการฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังจะใช้วัคซีนน้อยกว่า 1 ใน 5 เดิมที่ฉีดวัคซีนได้ 1 คน จะสามารถฉีดวัคซีนได้ 5 คน
นพ.ศุภกิจ ระบุว่า เป็นเรื่องของการเสนอวิธีการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง เป็นวิธีการฉีดสำหรับบูสเตอร์โดส เข็ม 3 ส่วนผลของภูมิคุ้มกันไม่ว่าจะอยู่ในน้ำเลือด หรือตัวเซลล์ ได้ผลใกล้เคียงกันกับการฉีดแบบเดิม ขณะที่ภูมิที่สู้กับเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้า การฉีดเข้าชั้นผิวหนังสามารถจัดการกับเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้
ส่วนผลข้างเคียง การฉีดเข้าทางผิวหนังจะเกิดอาการเฉพาะที่จุดฉีด มากกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ส่วนอาการทั่วไปของร่างกายน้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ทั้งนี้ หากมีข้อมูลทางวิชาการ งานวิจัยมากพอ ว่าการฉีด 2 รูปแบบมีประสิทธิภาพเท่ากันไม่แตกต่างกัน ก็อาจจะนำมาพิจารณา แต่ตอนนี้ยังไม่ใช้เป็นการทั่วไป ในอนาคตหากจะมีการเร่งการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมโดยเฉพาะเข็ม 3 ถ้าใช้วิธีการฉีดเข้าผิวหนังก็จะใช้เป็นเพียงหนึ่งในห้าเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องมีความชำนาญในการฉีดวัคซีน เข้าชั้นผิวหนัง เพื่อให้ได้ผลดี
ด้าน ดร.นพ.นวมินทร์ ปิ่นปฐมรัฐ อาจารย์สาขาวิชาชีวเวชศาสตร์และวิศวกรรมชีวการแพทย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ภูมิคุ้มกันในร่างกายของตนมีอยู่สองชนิด โดยการทดลองเป็นการทดลองการใช้วัคซีน ฉีดที่ทีเซลล์ โดยจากการฉีดวัคซีนใต้ผิวหนังว่ามีภูมิเพิ่มขึ้นร้อยละ 52 และภูมิกล้ามเนื้อ มีภูมิเพิ่มขึ้น 55 โดยพบว่าภูมิคุ้มกันของการฉีดททั้ง2แบบ มีค่าใกล้เคียงกัน
ผลข้างเคียงฉีดเข้ากล้ามเนื้อ พบ ร้อยละ30 ผลข้างเคียงฉีดไต้ผิวหนังพบ ร้อยละ 5 ส่วนอาหารปวดบวมแดงร้อนภายหลังการฉีด สามารถหายได้เองใน 7 วัน