
การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่เป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โดยมีผู้สมัครเข้าร่วม 4 คนที่มีคะแนนความนิยมและการสนับสนุนใกล้เคียงกันอย่างมากภายในพรรค อีกทั้งสองคนในจำนวนนั้นยังเป็นผู้สมัครหญิงอีกด้วย
การแข่งขันดังกล่าวเริ่มต้นมาจากการที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน โยชิฮิเดะ ซูงะ ประกาศแถลงเมื่อเดือนที่แล้วว่า เขามีแผนจะสละเก้าอี้นายกฯ พร้อมยืนยันจะไม่ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกต่อไป
แน่นอนว่าพรรคเสรีประชาธิปไตยคาดหวังว่าจะได้เป็นพรรครัฐบาลต่อ หมายความว่าผู้นำพรรคจะต้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลายเป็นผู้นำประเทศที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นท่าทีทวีความแข็งกร้าวขึ้นของจีน หรือปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ตาม
ทาโร่ โคโนะ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่น ผู้ได้รับความนิยมสูงสุดจากผลสำรวจความคิดเห็นของชาวญี่ปุ่นครั้งล่าสุดเกี่ยวกับผู้นำประเทศคนต่อไป แต่ผลลัพธ์ความจริงกลับไม่ง่าย แม้แต่ในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายเอง เนื่องจากยังมีขั้วอำนาจใหญ่บางส่วนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าควรสนับสนุนผู้สมัครคนไหน จึงคาดเดาได้ยากว่าใครจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้
คู่แข่งตัวฉกาจของโคโนะในศึกครั้งนี้คาดว่าจะเป็นอดีต รมต.ต่างประเทศ ฟูมิโนะ คิชิดะ ซึ่งเป็นผู้นำขั้วอำนาจขนาดใหญ่ในพรรค LDP ส่วนอีกสองผู้สมัครหญิงที่ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือ ซานาเอะ ทาคาอิจิ อดีตรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลอดีตนายกฯชินโซ อาเบะ และ เซโกะ โนดะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร
การลงคะแนนเพื่อเลือกผู้นำพรรคจะเกิดขึ้นในวันที่ 29 กันยายน 2564 แต่จากแนวโน้มในตอนนี้เป็นไปได้ยากว่าจะมีผู้สมัครได้รับเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด นั่นทำให้อาจมีการลงคะแนนมากกว่าหนึ่งรอบ โดยนำสองอับดับแรกไปตัดสินกันในการโหวตรอบที่ 2 โดยมีสมาชิกจากสภานิติบัญญัติ 383 คน และผู้แทนพรรคจากแต่ละภูมิภาคของญี่ปุ่นอีก 47 คนเป็นผู้ตัดสิน
สาเหตุที่ทำให้การเก็งผู้ชนะในคราวนี้เป็นเรื่องยาก เพราะท่าทีของกลุ่มการเมืองไม่ได้มีการสนับสนุนเด่นชัด และอาจปล่อยให้สมาชิกเลือกตามเจตจำนงค์ของตัวเอง ในขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสเพื่อความก้าวหน้าของสหรัฐฯประจำเอเชีย โทเบียส แฮร์ริส คาดว่าโคโนะน่าจะได้เปรียบที่สุด แต่ถ้าเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็จะเป็นผู้นำที่อ่อนแอ
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เริ่มต้นมาจากการประกาศลาออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี โยชิฮิเดะ ซูงะ ภายหลังความนิยมที่ได้รับจากประชาชนลดลงทั้งที่ดำรงตำแหน่งได้เพียง 1 ปี หลังการลาออกของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ที่ก้าวลงจากตำแหน่งด้วยเหตุด้านสุขภาพเมื่อเดือนกันยายนปี 2563
ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซูงะ ต้องรับมือการระบาดระลอกแล้วระลอกเล่าของโควิด-19 ท่ามกลางข้อจำกัดนานัปการ อีกทั้งการจัดงานโอลิมปิกหวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงความนิยมก็ไม่เป็นผล จนนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งในที่สุด