ผู้พิพากษาศาลแขวงจาการ์ตากลางมีคำตัดสินในวันนี้ว่า ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด พร้อมด้วยรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม, รัฐมนตรีมหาดไทย ผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา และผู้ว่าการจังหวัดชวาตะวันตก และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นๆ กระทำความผิดจริงในคดีแพ่งฐานละเลยในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เรื้อรังของกรุงจาการ์ตา
โจทก์ 32 คนที่เป็นชาวเมืองจาการ์ตา ร่วมกันยื่นฟ้องกล่าวโทษผู้ต้องหาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อหวังใช้อำนาจศาลบังคับให้ทางการดำเนินมาตรการอย่างจริงจังเพื่อกำจัดมลพิษทางอากาศขั้นรุนแรงในเมืองหลวงและปริมณฑล ที่มีประชากรอาศัยมากกว่า 30 ล้านคน หลังจากในปีเดียวกันนี้จาการ์ตาติดอันดับเมืองที่มีคุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก โจทก์กล่าวหาว่ารัฐบาลไม่ได้ปกป้องสุขภาพของประชาชน ทั้งที่ข้อมูลวิทยาศาสตร์ระบุว่า มลพิษทางอากาศทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น หอบหืด โรคหัวใจ และอายุคาดเฉลี่ยลดลง
จาการ์ตาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ มีประชากรราว 10 ล้านคน และมีหมอกควันปกคลุมอย่างต่อเนื่องจากสภาพการจราจรที่แออัด และการปล่อยมลพิษจากโรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน ที่ไม่มีเครื่องกรองอากาศ
ศาลยังมีคำสั่งให้ประธานาธิบดีวิโดโดปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอากาศของจาการ์ตา และผู้ว่ากรุงจาการ์ตาต้องตรวจวัดการปล่อยมลพิษของยานพาหนะรุ่นเก่าในเมืองเป็นระยะๆ และตรวจวัดคุณภาพอากาศกลางแจ้งของเมือง รวมถึงต้องเผยแพร่ข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบ
ขณะเดียวกันประธานาธิบดีวิโดโดยืนยันเดินหน้าผลักดันแผนย้ายเมืองหลวงออกจากจาการ์ตาไปยังจังหวัดกาลิมันตันตะวันออกบนเกาะบอร์เนียว ที่อยู่ไกลออกไปเกือบ 1,300 กม. และบอกด้วยว่า หน่วยราชการพื้นฐานบางส่วนในเมืองหลวงใหม่จะสามารถดำเนินงานได้ภายในปี 2567 แต่เจ้าหน้าที่คาดว่าอาจใช้เวลาราว 20 ปีกว่าโครงการย้ายเมืองหลวงจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์
นอกจากปัญหามลพิษทางอากาศและความแออัดของเมือง จาการ์ตายังมีปัญหาเรื่องดินทรุดในอัตรารวดเร็วจนน่าตกใจ ซึ่งนักวิจัย คาดว่า พื้นที่บริเวณกว้างอาจจมน้ำภายในปี 2593
จาการ์ตาเหนือทรุดตัว 2.5 เมตรแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และยังคงทรุดตัวเฉลี่ยปีละ 1-15 ซม. และเกือบครึ่งหนึ่งของเมืองอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลแล้ว โดยปัจจัยสำคัญทำให้ดินทรุด คือ การสูบน้ำใต้ดิน ประกอบกับจาการ์ตาตั้งอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ และล้อมรอมด้วยทะเล ที่ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น