25 สิงหาคม 2564 เส้นทางเติบโตในราชการตำรวจของ “ผู้กำกับโจ้” หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ที่ติดยศ พ.ต.อ.อย่างรวดเร็ว แซงหน้าเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 57 (นรต.57) ไปหลายสเต็ป แถมยังแซงหน้า “รุ่นพี่” มาหลายร้อยชีวิต จากบัญชีอาวุโสสมัย พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ยังเป็น รอง ผกก.สืบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก อยู่มีอาวุโสอยู่ท้ายตาราง กลับขึ้นมาฟาดยศ “พ.ต.อ.” เป็นผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ พื้นที่ “ขุมทรัพย์” ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ที่มี “ว่าที่พ่อตา” เป็นผู้บัญชาการได้อย่างหน้าตาเฉย
ในพื้นที่ภาค 6 เองก็ยังมีเหตุสะเทือนวงการสีกากี จากคดีขนยาเสพติด "ไอซ์" 1.5 ตัน เมื่อวันที่ 18 ต.ค.62 ที่ถูกเชื่อมโยงไปถึง “บิ๊กตำรวจคนดัง” แล้วยังพัวพันกับ “ตำรวจใหญ่ในพื้นที่” อ.แม่สอด จ.ตาก อีกด้วย ด้วยทราบกันดีว่า อ.แม่สอด เป็นพื้นที่ชายแดนสำคัญ และมักมีข่าวการขนยาเสพติด จากประเทศเพื่อนบ้านอยู่เป็นประจำ หรือการเดินทางขึ้น-ลงภาคเหนือที่มีเส้นทางหลักผ่าน จ.นครสวรรค์ เส้นทางการขนส่งยาเสพติด ของหนีภาษี รวมไปถึงแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย จากแนวชายแดนภาคเหนือต้องมา “พักของ” ที่ “เมืองปากน้ำโพ” ก่อนเข้า กทม. หรือส่งออก สามารถจับกุมได้ทั้งรายเล็กจนถึงบิ๊กล็อต เป็นช่องทางหากินของ “ตำรวจสีเทา” จนร่ำรวยไม่รู้เรื่องไปหลายราย
เป็นที่สังเกตว่า การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจในพื้นที่ภาค 6 มักจะใช้หลักเลือก “คนใกล้ชิด” มาไว้ที่จุดเส้นทาง “ยุทธศาสตร์” ที่ว่า นำมาซึ่งกระแสข่าวการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์ในพื้นที่ภาค 6 ที่หนาหูมาตลอด อย่างไรก็ตามการที่ “ลูกพี่” มีนโยบายแสวงหาประโยชน์ ก็ใช่ว่า “ลูกน้อง” จะก้มหน้า ตามน้ำอย่างเดียว เพราะบางครั้งอะไรที่ “มากเกินไป” ก็ทำให้ “ผู้ใต้บังคับบัญชา” อึดอัด รอวันระเบิดเท่านั้น
ชัดเจนกรณี “ตำรวจชั้นผู้น้อย” ร้องเรียน “ผู้กำกับโจ้” ทันทีที่เกิดเรื่องผู้ต้องหาเสียชีวิตคาสถานีตำรวจ ในอารมณ์ “แก้แค้นเอาคืน” และไม่เพียงแต่ขอความเป็นธรรมให้กับผู้ตายและครอบครัวเท่านั้น มีขอความเป็นธรรมให้กับผู้ใต้บังคับบัญชากันเองด้วย ซึ่งในหนังสือร้องเรียนมีประโยคทิ้งท้ายที่ว่า “อยากให้ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติดำเนินคดีให้ถึงที่สุดนะครับ" เป็นการสะท้อนความรู้สึกของ “ลูกน้อง” ที่มีต่อ “ผู้กำกับโจ้” ได้เป็นอย่างดี
ขณะนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.สั่งการให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ตะต้องเอาผิดทั้งทางวินัย และอาญา เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนและ สตช.อย่างรุนแรง ขณะที่ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ผู้ถูกกล่าวหากก็ได้ไปรายงานตัวที่ ศปก.ภ.6 แล้ว และยังยืนกรานในความบริสุทธิ์ว่า ไม่ได้ซ้อม หรือทำร้ายใดๆ จนทำให้เกิดการเสียชีวิต แต่มีข่าวล่าสุดผู้กำกับโจ้หนีคดีไปแล้ว และกลางดึกวันที่24 ส.ค. พลเอก สุวัฒน์ มีคำสั่งให้ผู้กำกับโจ้ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมกับแจ้งข้อหาอาญา ฆ่าผู้อื่นตาย ด้วย ส่วนประเด็นการเสียชีวิตนั้นทางครอบครัวทราบดีว่าน้องที่เสียชีวิตมีโรคประจำตัว ส่วนการเรียกร้องเงินทองขอยืนยันในฐานะในตำรวจว่าไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
เรื่องนี้แม้ยังเป็นเพียง “ข้อกล่าวหา” แต่ถือว่า “มีน้ำหนัก” ไม่น้อย มิเช่นนั้น “ว่าที่พ่อตา” อย่าง ผบช.ภ.6 คงไม่รีบร้อนออกคำสั่งย้าย แถมให้ “ขาดจากตำแหน่งเดิม” ที่ถือเป็นการสอบสวน “ความผิดร้ายแรง” โดยทันที เรื่องนี้ ตามกระบวนการทางกฎหมาย ไม่สามารถ “ตัดจบ” ในชั้นตำรวจเองได้ ต้องจบที่ศาลเท่านั้น แม้ว่าครอบครัวผู้ตายจะไม่ติดใจเอาความก็ตาม เพราะเป็นกรณีที่เสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ที่ถือเป็น “อาญาแผ่นดิน” ที่ต้องทำการไต่สวน ชันสูตร และส่ง “สำนวน” ให้ศาลพิจารณาเหตุการเสียชีวิต และสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต และเกี่ยวข้องกับ “เจ้าหน้าที่” หรือไม่ด้วยตาม “มาตรา 150 ” แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ จบแล้ว กลุ่มตำรวจที่ร้ายกว่าโจรต้องตำนนด้วยหลักฐานแบบหนีไม่ออก เมื่อมีคลิปวัดีโอในที่เกิดเหตุ หลุดออกมาหลายคลิป จากภาพที่เกิดเหตุเป็นห้องสอบสวน สภ เมือง นครสวรรค์ มีคนที่ร่วมทำผิด ไม่ต่ำกว่า5 คน เป็นตำรวจทั้งหมด คนแรก คือ พ ต อ ธิติสรรค์ เสื้อดำ เอาถุงพลาสติกครอบหัวแล้วรัดปากถุงตรงบริเวณคอผู้ตาย และทุบตี คนที่2 สวมเสื้อยืดสีแดง เป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ชื่อต้อย ไม่ทราบชื่อจริงเป็น นายร้อยที่เลื่อนขึ้นจากดาบตำรวจ ทำหน้าที่ยื่นถุงให้และกดคนตายลงกับพื้น คนที่ 3 ส.ต.ต.ปวีร์กร คำมาเร็ว ใส่เสื้อยืดสีน้ำตาล ขึ้นเหยียบคนตาย คนที่ 4 พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง สว.สืบสวน คือชายเสื้อสีดำ รูปร่างสูงใหญ่ และคนที่ 5 ร.ต.อ.เจริญรัตร บุญสุวรรณ คือชายอ้วนลงพุง ใส่เสื้อสีเขียวขาว
ซึ่งวันนี้ชะตากรรมของผู้กำกับโจ้ ถูกจับแขวงบนเส้นด้ายแล้ว เพราะพยานหลักฐานปรากฎชัดเจน และด้วยเหตุการณ์นี้ ผู้กำกับโจ้ คงจะได้รู้สัจธรรมว่า เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ ทำอะไรไว้ก็ต้องชดใช้เท่านั้น