ข้อมูลเมื่อปี 2562 ระบุว่าแม้จะเผชิญ สงคราม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ประเทศที่ไร้ทางออกสู่ทะเลแห่งเอเชียใต้นี้ ถูกพบก๊าซธรรมชาติที่เมืองชีเบอร์กาน ใกล้พรมแดนประเทศ เติร์กเมนิสถาน มีแหล่งน้ำมันที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาใช้ มีแหล่งถ่านหิน มีแร่เหล็ก แร่ทองแดง แร่ยูเรเนียมและแร่อื่นๆ ทั้งยังอุดมด้วยเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่มีทางคิดดีได้เลยว่า การที่ สหรัฐฯ ส่งทหารเข้าไปใน อัฟกานิสถาน ก็เพียงเพื่อที่จะกำราบ ตาลีบัน และห่วงใยประชาชนตาดำๆ ชาวอัฟกันด้วยใจจริง ซึ่งในทางกลับกัน สหรัฐฯ มองตัวเองเป็นชาติที่ทรงอิทธิพลที่สุด แข็งแกร่งที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการทหารจนเกิดความอหังการ ประเมินศักยภาพตัวเองสูงเกินจริงที่เรียกว่า "American Exceptionalism" หรือ "ความพิเศษเหนือชาติอื่นของอเมริกา" ที่นำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง โดยเฉพาะการเข้าแทรกแซงประเทศโดยอาศัยข้ออ้าง "ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน"
แนวคิดว่า ตัวเองพิเศษเหนือชาติอื่น ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 แม้จะเจอบทเรียนซ้ำรอยเดิม ตั้งแต่สงครามเวียดนาม อิรัก และล่าสุดคืออัฟกานิสถาน แต่การยึดมั่นด้วยแนวคิดนี้ บวกกับความกระหายที่จะเข้าไปตักตวงทรัพยากรของประเทศอื่น ทำให้ สหรัฐฯ มั่นใจแบบใครห้ามก็ไม่ฟัง ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว สหรัฐฯ เหนือกว่าอัฟกานิสถาน ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กที่สุดในโลกหลายร้อยหลายพันเท่า โดยเฉพาะประชากรอัฟกันมีค่าครองชีพวันละไม่ถึง 2 ดอลลาร์ ส่วน นักรบตาลีบัน นั้นเล่า ก็ไม่ได้รับการฝึกทหารอย่างมีแบบแผน แค่จับปืนได้ ใช้อาวุธสงครามได้ แต่ยังมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการโจมตีด้วยอากาศยาน
แต่หลังจาก 20 ปีล่วงเลยมา มหาอำนาจที่มีกองกำลังหลักล้าน มียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยถึงขั้นนำไปทดสอบในอวกาศ กลับต้องอพยพพลเมืองหนีกองกำลังหลักหมื่น ที่ยังสวมรองเท้าแตะ แบบฝุ่นตลบ เที่ยวบินทหารที่ใช้ลำเลียงบินเข้าและออกสนามบินในกรุงคาบูลหลายเที่ยว รีบขนาดทิ้งแม้กระทั่งเสื้อเกราะเอาไว้ให้ ตาลีบัน ดูต่างหน้ากันเลยทีเดียว... และนี่คือการเดิมพันที่ผิดพลาด สหรัฐฯ ไม่ได้อะไร ส่วน อัฟกานิสถาน ก็กลับไปสู่จุดที่ราวกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา!!